I'M Zwei

I'M Zwei
Welcome To blogger of Zwei

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

GoPro กล้องสำหรับคอกีฬา....อย่างคุณ

ตามสารคดีัหรือรายการกีฬา Extreme ต่างๆ ที่เราเคยได้ดูอย่างเช่นการแข่งรถทั้ง รถแต่ง รถ F1 รถมอเตอร์ไซค์ หรือ การกระโดดร่ม การเล่น board ต่างๆ จะมีการบันทึก VDO หรือ ภาพนิ่งเอาไว้ บางที่เราก็นึกไม่ออกว่าเขาใช้กล้องอะไรกันในการถ่ายภาพ หรือบางคนเคยสังเกตุก็จะเห็นกล่องเล็กๆ ที่ตัวที่หัวบ้าง ที่ข้างรถบ้าง เอ…มันคือกล้องใช่หรือเปล่า   ถูกต้องแล้วครับ มันคือกล้อง Digital อย่างหนึ่งที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับการบันทึก VDO และภาพนิ่งสำหรับกีฬา Extreme ต่่างๆ เหล่านี้โดยตรงครับ
และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกลับกล้องชนิดนี้กัน กล้องชนิดถูกผลิตและจัดจำหน่ายในชื่อที่ GoPro ครับ และผมขอเรียกกล้องที่เรากำลังจะคุึยกันต่อไปนี้ว่า GoPro เลยล่ะกันนะครับ GoPro ทำกล้องออก 1 รุ่น( 1 รุ่นเท่านั้นเองจริงๆ) แต่มี Accessories ที่ใช้สำหรับกิจกรรมต่างๆ อย่างมากมาย  ที่นี้เรามาดูคุณสมบัติของกล้องกันก่อนว่ามันหน้าตาเป็นยังไงและทำอะไรได้ บ้าง


ตัวกล้องมีขนาดเล็กไม่เิกินฝามือเนื่องจากต้องใช้กล้องในการติดที่หมวก กันน๊อก หรือตามตัวรถ ทำให้ต้องการกล้องที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา เลนส์ที่ติดมากับกล้องสามารถรับมุมภาพได้กว้างถึง 170 องศาหรือที่เราๆ เข้าใจกันว่าเลนส์ Fish eye นั่นเอง ตัวกล้องจะมีช่องใส่ Battery และ SD card ที่ด้านล่าง Battery สามารถถ่าย VDO ได้ต่อเนื่องถึง 2.5 ชั่วโมง รองรับ Card ที่มีความจุได้สูงสุดถึง 32 GB (โอ้ว….เยอะจริงเชียวตัวแต่เนี่ย!) มีจอ LCD ไว้ใช้ในการปรับเปลี่ยน Function ต่างๆ ที่ด้านหน้า (ปรับเปลี่ยน Function เท่านั้น ไม่สามารถแสดงผลภาพหรือ VDO ให้ดูได้) เพื่อเป็นการ Save น้ำหนักให้น้อยที่สุด……
แล้วคุณสมบัติอื่นๆละ
  • สามารถถ่ายวิดีโอระดับ HD ได้ที่ 720p, 960p,1080p ที่ 30, 60 fps
  • ถ่ายภาพนิ่งได้ละเอียดถึง 5ล้านพิกเซล
  • ตั้งถ่ายต่อเนื่องได้ทุกๆ 2, 5, 10, 30, 60 วินาที
  • และเมื่อใช้คู่กับ Housing คุณจะสามารถพากล้องลงไปในน้ำได้ลึกถึง 60 เมตร

เอาล่ะแล้วการใช้งานล่ะ แบบไหนที่มันจะเหมาะกันบ้านเรา หรือเราๆ ท่านๆ กันได้บ้าง  อย่างที่ผมบอกแล้วว่ากล้องตัวนี้ต้องมาพร้อมกับ Accessories เฉพะาทางกับการใช้งานของแต่ละประเภทด้วย เอางี้ผมอธิบายต่อกันด้วยภาพดีกว่าและ VDO ตัวอย่างกันดีกว่า รับรองว่าพอคุณดูกันแล้วต้องร้อง อ้อ…… ยังงี้นี่เอง และคงต้องหาไว้ใช้สักตัวแล้วล่ะสิ….. ^_^

การชาร์จแบตเตอร์รี่ Li-ion ที่ถูกต้อง

การชาร์จแบตเตอร์รี่ Li-ion ที่ถูกต้อง
เพื่อนๆครับ เพื่อนๆเคยรู้กันรึเปล่าครับว่าการ การชาร์จแบตเตอร์รี่ Li-ion ที่ถูกต้อง เขาทำกันอย่างไร วันนี้ผมมีเกร็ดความรู้เรื่อง การชาร์จแบตเตอร์รี่ Li-ion ที่ถูกต้อง มาฝากเพื่อนๆกันครับ
แบตเตอร์รี่แบบ Li-Ion และรวมถึงแบตฯรุ่นใหม่ Li-Polymer ด้วย นั้นจะ นับรอบการชาร์จ (Cycle) ของ แบตฯ ของตัวมันเอง ซึ่งรอบการชาร์จของแบต Li-Ion คือ ชาร์จรวมกันแล้ว 85 – 95 % ขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตด้วย) ถึงจะนับเป็น 1 รอบ ไม่ใช่จำนวนครั้งในการชาร์จ อย่างที่เข้าใจกัน ตัวอย่าง เช่น คุณชาร์จไปครั้งแรก ใช้ไปแค่ 20% ซึ่งแบตของคุณในตอนนั้นเหลือ 80% คุณก็ชาร์จไฟเข้าไปใหม่ คุณจะสามารถทำอย่างงี้ไป 5 ครั้ง ถึงจะ นับ 1 รอบ การชาร์จ ผมก็อปมาให้ดูจาก Help ของ Notebook IBM ครับ A cycle is defined as each time the battery discharges a total of 85% or more and is recharged it counts as one cycle. ผม ใช้ไปสัก 20 – 30% แล้วชาร์จ ทำแบบนี้ไปราว 3 ครั้ง ตัวเลข Cycle จึงขึ้นมา 1 ครับ (แบตบ้าอะไรก็ไม่รู้ นับจำนวน Cycle ตัวเองได้ด้วย) แต่ถ้าเป็นแบต NiCd หรือ NiMH ก็นับจำนวนครั้งที่ชาร์จเลย
คงต้องบอกว่าตัวแบต Li-ion นั้นระหว่าง Notebook หรือ มือถือ นั้นเหมือนกัน ไม่ต้องบอกก็ดูจะรู้ครับเพราะว่ากรรมวิธีไม่ได้แตกต่างกันเลย มันก็แบบเดียวกันครับ นั้นหมายความว่าการนับย่อมเหมือนกันครับ สารประกอบ และธาตุที่เอามาทำแบตนั้นชนิดเดียวกันโครงสร้างเหมือนกัน ทุกส่วนครับ
ซึ่งถ้าปิดหรือเปิดเครื่องหรืออุปกรณ์ระหว่างชาร์จนั้นอันไหนได้ผลดีกว่า กัน อันนี้ผมไม่ขอสรุปเพราะว่ายังไม่มีการทดสอบและทดลองที่แน่ชัดครับ อันนี้คงแล้วแต่สะดวกมากกว่าครับ แล้วอีกอย่างถึงแม้แบตเราจะไม่ได้ทำการชาร์จเลยเป็นเวลานานก็ตามแบตก็จะ เสื่อมไปเองภายในเวลา 3 – 5 ปีครับ อันเนื่องมากจากการทำงานของสารเคมีภายในที่หมดคุณภาพไปครับ หรืออาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดของสารประกอบและกรรมวิธีของมันเองมากกว่าครับ อันนี้ผมไม่ขอตอบแน่ชัดเพราะว่ายังไม่มีรายงานใดๆ ออกมาครับจึงสรุปได้ไม่เต็มปากครับ แต่ที่สังเกตก็เป็นเช่นนั้นครับ ใช้ไม่ใช้ก็มีอายุเท่ากันแต่ใช้แล้วเนี่ยมันจะสั้นกว่า แต่ก็ไม่ต่างกันมากนักขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างเช่น
1.การใช้เครื่องชาร์จที่ได้รับไฟฟ้าที่นิ่งๆ คือการได้รับไฟฟ้าที่ไม่มีไฟตกไฟเกินไฟกระฉาก ครับ อันนี้มีผล ต่อการชาร์จไฟที่มีคุณภาพ 10 – 20% ครับ
2.อุณหภูมิในระหว่างการชาร์จ หรือประจุไฟควรประจุที่อุณภูมิปกติ และไม่มีความชื่นมากนักเพราะจะทำให้การถ่ายเทความร้อนทำได้ยากขึ้น
3.ขั้วแบตและขั้วส่วนของเสียบสายชาร์จนั้นต้องมีการส่งผ่านไฟที่สม่ำเสมอ เพราะว่าทำให้การประจุไฟหรือการชาร์จเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลที่ดี
4.การหลีกเลี่ยงการทำแบตตกพื้นเพราะจะทำให้หน้าสัมผัสภายในเสียหรือหลุดได้โดย ที่เราไม่รู้ รวมถึงทำให้สารประกอบต่างๆ รั้วไหลได้ (เป็นต้นเหตุให้ระเบิดได้)
5.ควรใช้แบตอย่างถูกต้องตามแบบสารประกอบนั้นๆ เช่น NiCd ให้ใช้หมดก่อนแล้วชาร์จ NiMH , Li-ion , Li-Poly ลักษณะการใช้งานคล้ายมาก จะชาร์จตอนไหนก็ชาร์จเพียงแต่ NiMH นั้นยังมี memory effect ซึ่ง NiMH นั้นเป็นแบตที่เป็นต้นแบบของ Li-ion เลยก็ว่าได้เพราะว่าเอาแก้ไขส่วนของ memory effect ของ NiCD โดยเฉพาะครับ แต่ว่า Li-ion ทำได้ดีกว่า ส่วน Li-ion กับ Li-Poly นั้นแทบจะไม่มีหรือไม่มีเลย
6.การชาร์จในตอนแรกที่ได้รับแบตมานั้น NiCD , NI-HM นั้นใช้ชาร์จ 12 – 14 ชม. 3 ครั้งทุกครั้งใช้แบตให้หมด เพื่อเป็นการกระตุ้นธาตุ Ni ครับ ส่วน Li-ion และ Li-Poly นั้นไม่ต้องครับ แค่ทำให้มันเต็มหรือชัวร์ๆ ก็ 3 ครั้งแรกชาร์จสัก 6 ชม. ก็พอครับ แต่ Li-ion อย่าทำให้แบตหมดเกลี้ยงเป็นอันขาดนะครับ เพราะจะทำให้แบตเสียได้ ส่วน Li-Poly นั้นแก้ไขส่วนนี้มาแล้ว และเป็นแบตที่มีน้ำหนักเบากว่า Li-ion ครับ
7.หวังว่าคงเข้าใจพอสมควรแล้วนะครับ ลองหาอ่านได้จากหนังสือ แบตเตอร์รี่ของ Se-ed ครับผมจำได้ว่าการ สร้าง NiMH นั้นสร้างมาเพื่อลบจุดด้อยเรื่อง memory effect ของ NiCD ครับแต่ว่าไม่มากพอซึ่งมีบ้างแต่ไม่มีเท่าครับแต่ได้ความจุที่มากกว่า NiCD มากเลยนั้นคือสิ่งที่ดีของ NiMH ที่ดี แต่ด้อยตรงที่ NiCD นั้นคายประจุได้สม่ำเสมอและเที่ยงตรงมากที่สุดในแบตที่ชาร์จใหม่ได้ครับ …………… ทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย …………

แบตเตอรี่ AA เรื่องต้องรู้ ที่(คุณ)ยังไม่รู้

'กล้องที่ซื้อมาทำไมกินแบตจัง ถ่ายไม่กี่รูปก็หมดแล้ว' นี่เป็นคำถามที่ผมได้ยินมาครั้งเท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว ซึ่งอันที่จริงเมื่อสมัยก่อนผมเองก็เคยเป็นคนที่ตั้งคำถามอันนี้ขึ้นมา เหมือนกัน หลังจากได้ยืมเจ้ากล้องดิจิตอลของเพื่อนไปใช้งาน ซึ่งปรากฏว่าถ่ายไปแค่ไม่กี่รูป(ไม่ถึง 20 รูป) ปรากฏว่าเจ้าถ่านอัลคาไลน์ที่ซื้อมาเหยียบๆร้อยบาท ก็มีอันหมดกำลังไปซะดื้อๆ ทำให้ผมจำไปตั้งนานว่ากล้องรุ่นนั้นเป็นกล้องรุ่นที่ไม่ดี แถมใครถามก็บอกรุ่นนี้ไม่ดีอย่าไปซื้อ มันกินถ่าน กว่าจะมารู้ความจริงเวลาก็ผ่านไปหลายปีดีดัก กะว่าจะกลับไปขอโทษเจ้ากล้องรุ่นนั้นซะหน่อยก็เป็นอันว่าตกรุ่นไปแล้วหาคน ใช้ไม่ได้อีก เป็นอันว่าบทความนี้ก็ถือว่าอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากล้องรุ่นนั้น อย่าได้มาถือโทษโกรธเคืองคนไม่รู้เลย
อันที่จริงผมพบว่ามีความเข้าใจผิดอยู่ อีกมากในเรื่องของถ่าน(แบตเตอรี่)ที่ใช้กลับกล้องดิจิตอล เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ผมได้ยินคำพูดเหล่านี้
'ใช้ถ่าน AA ซิดี ถ้าหมดเมื่อไหร่ ก็ไปซื้อที่ไหนใส่ก็ได้' <------- เป็นความเชื่อที่ถูกเพียง 20 % ผิด 80 %
'ถ่านลิเธียมใช้ได้นานกว่าถ่าน AA' <-------- ไม่จริงเสมอไป
'ซื้อกล้องที่ใช้ถ่าน AA ดีกว่าเพราะราคาถูกกว่า ไว้มีตังค์ค่อยไปซื้อถ่านชาร์จมาใช้' <------ ผิด 100%
'ถ่านรูปร่างเป็น AA รุ่นไหนก็ใช้ได้กับกล้องดิจิตอล' <------- ผิดอีกเช่นกัน
**หมายเหตุ สำหรับคนไม่รู้ AA คือรหัสบอกขนาดของถ่านครับ มันคือขนาดถ่านไฟฉายขนาดเล็กนั่นเอง
นั่นแน่ ...!! คุณก็เป็นคนหนึ่งใช่ไหมที่คิดแบบข้างบน เอาละไม่รู้ไม่ว่ากัน แต่วันนี้คุณจะได้รู้แล้วครับ ว่าเรื่องจริงเป็นเป็นอย่างไร
มาดูประเภทของถ่าน AA กันดีกว่าว่ามีกี่ประเภทและอย่างไหนใช้ได้และไม่ได้บ้าง
1. ถ่าน AA ชนิดธรรมดา
ถ่านชนิดนี้ทุกคนต้องเคย ใช้มาก่อนแน่นอน เพราะมีใช้มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะใส่กับวิทยุ นาฬิกา หรือของเล่น ถ่านชนิดนี้จะมีราคาถูกที่สุด แต่ทว่า !! เสียใจด้วยครับ ถ่านชนิดนี้ 'ใช้ไม่ได้กับกล้องดิจิตอล' เนื่องจากกำลังไฟไม่พอที่จะจ่าย ส่วนใหญ่แล้วถ้าคุณใส่ถ่านชนิดนี้เข้าไป กล้องของคุณจะเปิดไม่ติด (แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียครับ) เพราะไฟไม่พอ ซึ่งถ่านชนิดนี้นี่เองที่ทำให้ใครต่อหลายคนได้เสียตังค์ค่ารถไปที่ศูนย์ซ่อม เนื่องจากนึกว่ากล้องเสียมานักต่อนักแล้ว
2. ถ่าน AA ชนิดอัลคาไลน์ (Alkaline)

เป็นถ่าน AA ที่ให้พลังงานนานกว่าถ่านแบบธรรมดาประมาณ 7 เท่า(จำมาจากโฆษณา) และเจ้าตัวนี้เองที่ทำให้คนเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงมานักต่อนักแล้ว ว่าน่าจะใช้กับกล้องดิจิตอลได้ แต่ความจริงคือ 'ใช้กับกล้องดิจิตอลได้ แต่ระยะเวลาที่ใช้ได้สั้นมาก' เนื่องจากกำลังของมันก็ยังไม่อึดพอ ที่จะทนการกินพลังงานอันมหาศาลจากกล้องดิจิตอลได้ คุณอาจจะถ่ายไปได้เพียง 10 กว่ารูปแล้วถ่านหมด ก็ไม่ไช่เรื่องแปลกเลย
3. ถ่าน AA ชนิดอัลคาไลน์ที่ใช้กับกล้องดิจิตอล

ไอ้เจ้านี่ต่างหาก ที่คุณจะต้องซื้อมาใช้กับกล้องของคุณ ยามที่ถ่านของคุณหมด เนื่องจากมันจะให้พลังงานมากกว่า ถ่านอัลคาไลน์ธรรมดาประมาณ 3 -4 เท่า แต่ราคาละ โอ้ พระเจ้าจ๊อด มันคงไม่ถูกกว่าถ่านอัลคาไลน์ปกติเป็นแน่แท้
ถึงตรง ตกใจใช่ไหมละครับ !! เห็นไหมผมบอกแล้ว ว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิด หลงคิดว่ากล้องที่ใช้ถ่าน AA ใช่ถ่านแบบไหนก็ได้ บางคนกะจะไปซื้อถ่านธรรมดาราคา 10 กว่าบาทมาใช้ มันใช้ไม่ได้หรอกพ่อคุณ !!
4. ถ่าน AA ชนิด นิเกิล-เมตัลไฮไดร์ (Ni-MH)

เป็นถ่านที่แนะนำว่าคุณ'ต้องซื้อ'มา ใช้กับกล้องดิจิตอลของคุณ(ถ้ามันไม่แถมมา) ถ่านชนิดนี้มีหลากหลายค่าความจุให้เลือก โดยถ้าจะนำมาใช้กับกล้องดิจิตอลต้องเลือกที่ความจุไม่น้อยกว่า 2000 mAh (mAh เป็นหน่วยวัดค่าความจุไฟฟ้า ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งใช้ได้นาน) ซึ่งถ่านชนิดนี้จะสามารถชาร์จไฟนำมาใช้อีกได้ และถ่ายได้นาน(100 รูปขึ้นไป) แต่ก็จะมีราคาแพงพอสมควร (พันกว่าบาทขึ้นไป สำหรับมากกว่า 2000 mAh รวมที่ชาร์จ) ซึ่งโดยปกติแล้วจะสามารถชาร์จไฟนำมาใช้ได้ใหม่ประมาณ 500 ครั้ง ซึ่งถ้าคิดราคาต่ออายุการใช้งานแล้วละก็'ถูกที่สุด'ครับ
เอาละ ครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงพอจะเข้าใจตรงกันแล้ว ว่าถ่านแบบไหนที่ควรจะนำมาใช้กับกล้องดิจิตอล และผมจะขอสรุปเรื่องที่เข้าใจผิดๆให้เข้าใจกันซะที
1. อย่าหวังว่าคุณจะใช้ถ่านราคา 10 กว่าบาทได้กับกล้องดิจิตอล(ไม่มีรุ่นไหนยกเว้น)
2. หากคุณคิดจะซื้อกล้องที่ใช้ถ่าน AA แล้วหวังว่าสะดวกกว่าเวลาถ่านหมดก็ไปหาถ่านเอาแถวๆนั้นได้ละก็ ให้รู้ไว้เลยว่าถ่านที่คุณจะต้องซื้อมาใช้คือ Alkaline สำหรับกล้องดิจิตอล (ถ้าซัก 10 กว่ารูป Alkaline ธรรมดาก็พอไหว) ราคาหลักร้อยนะครับ (อย่าลืมละว่าถ่านแบบธรรมดาใช้ไม่ได้)
3. เวลาคุณไปซื้อกล้องแล้วกล้องใช้ถ่าน AA โดยไม่แถมถ่านแบบที่ชาร์จได้มาให้ละก็ คุณจำเป็นที่สุดที่จะต้องซื้อถ่านชาร์จ(พร้อมแท่นชาร์จ)มาด้วย อย่าลืมเตรียมงบเผื่อไว้อีกประมาณ พันกว่าบาท ....ไม่อย่างนั้นคุณจะกระเป๋าฉีกค่าถ่านแน่นอน .... ฟันธง !!!!
4. เวลาเปรียบเทียบราคากล้อง หรือเตรียมเงินซื้อกล้อง อย่าลืมพิจารณาตรงนี้ด้วย ถ้ารุ่นไหนไม่แถมถ่านชาร์จ บวกไปอีกประมาณพันสองได้เลย เชื่อผม!!
5. ถ่านที่แถมมากับกล้อง เค้าใส่มาให้ทดสอบว่าเปิดติด ถ่ายได้เท่านั้นละพ่อคุณ อย่าไปคาดหวังอะไรกับมันมาก(บางคนได้กล้องมา ใส่ถ่านออกลุยเลย แป๊บเดียวถ่านหมด

แฟลช และเทคนิคการถ่ายภาพด้วยแสงแฟลช



แฟลช ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการถ่ายภาพอย่างหนึ่ง ทำให้สามารถถ่ายภาพได้กว้างมากขึ้น ปัจจุบันจึงมีผู้คิดค้นแฟลชต่างๆ ออกวางจำหน่ายอย่างมากมาย รวมไปถึงการจัดทำให้แฟลชอยู่ติดกับตัวกล้อง เกือบทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ทำให้ผู้ใช้งานใช้งานได้สะดวกและง่ายขึ้น ผู้ใช้กล้องจึงควรมีความรู้พื้นฐานในการเลือกใช้แฟลชให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และในสภาพแสงต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง
การใช้แฟลชช่วยในการถ่ายภาพได้ดังนี้
1.ช่วย ให้สามารถถ่ายภาพในที่มืด หรือในที่ที่แสงสว่างไม่เพียงพอที่จะบันทึกภาพได้ เช่น ห้องมืด หรือในเวลากลางคืน อย่างไรก็ตามการใช้แฟลชแบบนี้ต้องทำใจกับแสงสีที่จะเกิดขึ้นในภาพ ว่าอาจจะไม่เหมือนกับที่เราเห็น ณ เวลานั้น ขณะนั้น
2. เมื่อต้องการถ่ายภาพในที่กลางแจ้งซึ่งแสงอาทิตย์ส่องมาด้านหลัง ทำให้วัตถุเกิดเงาดำ หรือเรียกอีกอย่างว่าการถ่ายย้อนแสง เราสามารถเปิดแฟลช เพื่อลบเงาด้านหน้าบริเวณที่เกิดเงาดำได้ ทำให้ได้ภาพที่สวยงาม เห็นรายละเอียดสวยงาม ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หรือการถ่ายภาพย้อนแสงในตัวอาคาร ก็สามารถใช้แฟลชเพิ่มความสว่างในส่วนที่มืดได้
3. การถ่ายภาพโดยใช้แฟลช จะช่วยตรึงวัตถุให้อยู่กับที่ได้ภาพคมชัด ไม่พร่ามัว แม้วัตถุนั้นจะเคลื่อนไหวอยู่ก็ตาม
เทคนิคการถ่ายภาพด้วยแสงแฟลช
Fill- InFlash

ปรกติการถ่ายภาพย้อนแสงในเวลากลางวัน ตำแหน่งของดวงอาทิตย์จะอยู่ตนตรงข้ามกับตัวผู้ถ่ายภาพพอดี และเมื่อทำการวัดแสงโดยใช้เครื่องวัดแสงที่ติดอยู่ในตัวกล้อง จะทำการวัดแสงแบบค่าเฉลี่ย และคำนวณให้กล้องถ่ายภาพเปิดช่องรับแสงที่แคบ เนื่องจากเครื่องวัดแสงวัดแสงบริเวณท้องฟ้า ซึ่งเป็นที่แสงสว่างจ้ามาก และเมื่อถ่ายภาพตามที่กล้องคำนวณ บุคคลภายในภาพจะมีเงามืด ในขณะที่บริเวณท้องฟ้าหรือ background จะมีความสว่างพอดี วิธีแก้ไขคือต้องใช้แฟลชช่วยในการถ่ายภาพ วิธีการถ่ายก็เพียงปรับความไวชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กับแฟลช ปรับค่าความไวแสงที่ตัวแฟลช ดูระยะความห่างของกล้องกับตัวแบบ ว่าอยู่ห่างกี่เมตร หรือกี่ฟุต แล้วปรับค่าช่องรับแสงให้ตรงกับระยะห่าง  หลังจากนั้นทำการถ่ายภาพ ก็จะได้ภาพตัวแบบที่ไม่มีเงามืด ภาพจะสวยงามขึ้น
การถ่ายภาพด้วยแสงสะท้อนจากแฟลช (Bounce Flash)

การถ่ายภาพโดยใช้แฟลชยิงไปตรงๆ  กับวัตถุหรือหน้าคนนั้น  ภาพที่ได้อาจจะสว่างมากเกินไป  หรือแสงแข็งให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ปัญหานี้อาจลดลงได้ด้วยการแผ่กระจายแสงแฟลชให้กว้างขึ้น หรือตั้งเป็นแฟลชกระจายแสง หรือจะหาแผ่นกระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาปิดกั้นแสง  หรือจะใช้เทคนิค Bounce Flash ด้วยการปล่อยแสงแฟลชให้ตกกระทบกับวัตถุ แล้วจึงสะท้อนกลับมาที่ตัวแบบ แทนที่จะปล่อยแสงแฟลชให้กระทบกับตัวแบบโดยตรง โดยการสะท้อน อาจใช้ร่มสะท้อนแสง ฝาผนัง หรือเพดานเตี้ยๆ แต่มีข้อควรระวังคือควรจะเลือกวัตถุตกกระทบให้มีสีขาวหรือสีกลางๆ มิฉะนั้นแล้ว สีของวัตถุสะท้อนแสงนั้นจะทำให้ตัวแบบสีผิดเพี้ยนไป  นอกจากนี้แฟลชบางตัวออกแบบมาให้สามารถปรับหลอดให้แหงนหรือปรับซ้ายขวาได้ จะช่วยในการถ่ายภาพภายใต้แสงที่นุ่มนวลขึ้น  แต่จะต้องเปิดหน้ากล้องให้กว้างขึ้นกว่าที่ถ่ายโดยใช้แสงแฟลชโดยตรงประมาณ 1-2 สต๊อป ตามแต่ลักษณะของวัตถุสะท้อนแสง

วีธีการ ถ่ายภาพใน "ถ้ำ"

วีธีการ ถ่ายภาพใน "ถ้ำ" by ช.ช้าง



'ถ้ำ' สถาน ที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในการถ่ายภาพ มีทั้งความแปลกในเรื่องของพื้นผิว รวมไปถึงสภาพแสง ที่มีจุดกำเนิดแสง ไม่เหมือนสถานที่ทั่วไป และแน่นอนสภาพภายในถ้ำ ที่ส่วนใหญ่จะอับชื้น และมืดสลัว อาจทำให้หลายคนกลัวที่จะถ่ายภาพ หรือถ่ายแล้วยิงแฟลชตรงๆ ภาพก็ไม่สวยเหมือนที่ตาเห็น พอปิดแฟลชภาพก็ไม่ชัด ผมเลยรวบรวมเทคนิคส่วนตัวง่ายของผม มาแบ่งปันสำหรับมือใหม่อยากถ่ายถ้ำครับ
การถ่ายภาพภายในถ้ำ จะว่ายากเกินไปก็ไม่น่าใช่ แต่จะว่าง่ายก็ไม่เชิง สิ่งสำคัญเราต้องรู้หลักหรือทุกครั้งเวลาเราไปถ่ายถ้ำต่าง คือ เราต้องเข้าใจสภาพแวดล้อมของถ้ำแต่ละแห่ง  โดยเราต้องเข้าใจก่อนว่าถ้ำส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณหินปูน จึงมีสภาพการกัดกร่อนที่มีคล้ายกัน  ถ้ำบางแห่งใหญ่โต บางแห่งก็แค่เล็กๆ  ส่วนมากภายในถ้ำจะมีสภาพแสงน้อยถึงน้อยมาก บางครั้งก็อาจจะมีแสงส่องถ้ำเฉพาะจุดหรือไม่มีเลย ภายในถ้ำอาจจะมีแสงเทียนส่องสว่างหรือเราต้องใช้แสงจากตะเกียงหรือแฟลส ไฟฉาย  สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดในการที่เราต้องคิดก่อนจะไปถ่ายถ้ำกัน

อุปกรณ์และเทคนิคต่างๆในการถ่าย ถ้ำ

อุปกรณ์

 1.กล้องถ่ายรูป ไม่ว่าจะเป็นกล้องฟิมล์หรือดิจิดอล จะเป็นแบบคอมแพคหรือSLR ได้ทั้งหมด แต่ให้เลือกที่มีระบบแมนนวลได้ก็ดี เช่นสามารถชดเชยแสงได้,ปรับISOได้ เพื่อเราสามารถปรับแต่งได้

 2. เลนส์  แนะนำเลนส์มุมกว้าง เลนส์ช่วง20-35มิล(ถ้ากล้องดิจิดอลก็เริ่มสัก10-55มิล)เป็นเลนส์ที่เหมาะ ถ่ายถ้ำขนาดใหญ่  ส่วนเลนส์50มิลขึ้นไปถึง100มิลเหมาะกับถ่ายเป็นจุดๆ ถ่ายหินย้อยหรือเจาะรายละเอียดเฉพาะส่วน

 3. ขาตั้งกล้อง  เป็นสิ่งจำเป็นมากในการถ่ายภาพในถ้ำที่มีสภาพแสงน้อยๆ ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ ให้ใช้แบบมั่นคงแข็งแรง หรือเท่าที่เรามีที่รับน้ำหนักได้ไหว ไม่สั่น ไม่ล้มง่าย  และใช้แบบที่ปรับได้สะดวกก็ดี เพราะบางแห่งอาจจะมีพื้นที่ไม่สม่ำเสมอกัน พร้อมทั้งสายลั่นชัตเตอร์ แบบชัวร์ๆเราได้คิดก่อนถ่ายได้(แต่ยุคนี้อาจจะใช้วิธีดึงISOสูงๆได้)

 4. ระบบไฟ  ถ้าในถ้ำไม่มีแสงก็อาจจะใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ไฟนีออน(อันนี้ไม่แนะนำ)ไฟฉาย หรือแฟลซภายนอกหรือหัวกล้องก็ได้ แต่ถ้าถ้ำไหนมีระบบไฟ ก็หามุมเหมาะถ่ายมาแล้วหลบมุมไฟให้ได้ก็พอ

เทคนิค

 
1.WB  ตั้งWB ตามสภาพแสงที่ตอนนั้น ถ้าไม่แน่ใจก็ใช้Auto หรือง่ายๆถ้าเป็นพวกตะเกียงก็ใช้ทังสเตน  หรือให้ชัวร์ก็วัดอุณภูมิแสง หรือจะลองปรับ wb หลายๆแบบ จนได้สีของภาพที่ถูกใจ  แต่วิธีอีกวิธีถ่าย Raw แล้วมาปรับWBที่หลังได้

 2.วัดแสง  แนะนำแบบเฉพาะจุดแล้วชดเชยตามสภาพแสง ให้แสงส่องก่อนค่อยวัดน่ะ เดี่ยวถ่ายมาสว่างจ้า  หรือง่ายๆที่ผมใช้บ่อยวัดแบบหลายส่วนแล้วชดเชยไปทางลบสัก1-2สต๊อปก็เอาอยู่ แล้วครับ

 3.โหมดที่ใช้ถ่าย จะใช้แบบไหนตามถนัดได้เลย หรือใช้ M  เลย เพราะเมื่อเราวัดแสง แสงในถ้ำไม่เปลี่ยนเราก็ได้ค่านั้นถ่ายไปเลยทั้งหมด

 4.ค่าF แนะนำใช้ค่า F กลางๆไม่ถึงแคบเพื่อความคมชัด เช่นF8, F16, F11, เป็นต้น แม้เวลาใช้อาจจะได้ความเร็วชัเตอร์ที่ต่ำ แต่อาจจะต้องเพิ่ม ISO  และใช้สายลั่นชัตเตอร์เพื่อให้โอกาสภาพชัดสูงขึ้น

 5.การโฟกัส ถ้ามืดมากให้ใช้โหมดแมนนวล หรือถ้ากลัวว่าตาไม่ตรง หรือเลนส์หาจุดโฟกัสไม่ได้ ใช้autoแล้วใช้ไฟฉายส่องนำ ล๊อคจุดโฟกัส หรือพอได้ก็เปลี่ยนเป็นแมลนวล เท่านี้ก็ได้ภาพชัดชัวร์

 6. ไฟฉาย ติดไฟฉายเล็กๆ (หรือใช้โทรศัพท์มือถือช่วยส่อง) สักตัวไว้ส่องเมนูต่างๆ เพราะเคยเจอแบบแสงน้อยจนเรามองอะไรไม่เห็นจะช่วยได้มาก

 7.โชคและองค์ประกอบภาพ เช่นจุ ดตัด9ช่อง,จุดนำสายตา,เป็นต้น  ได้นำออกมาใช้ มองให้ดี ไม่ต้องรีบค่อยๆกดจะได้ภาพตามต้องการ
ให้เพื่อนส่องไฟช่วยในการถ่ายถ้ำ

ลำดับขั้นตอนสำหรับมือใหม่ถ่ายถ้ำ


 ขั้นแรกก่อนถ่ายให้เราเดินสำรวจก่อนว่าเราจะถ่ายมุมไหนดี ที่มันดูแล้วสวย ดูสภาพแสงที่ตกลงมา แสงสว่างมีไหม แบบไหน ถ้าไม่มีก็ใช้ตะเกียงหรือไฟฉายส่อง ให้คนช่วยถือ  หรือใช้แฟลชถ่ายก็ได้แต่อาจจะได้แสงอีกแบบ แสงจะส่องแบบไหนเคล็ดอยู่ที่ว่าให้ส่องไปผนังด้านหลัง ภาพที่ได้จะมิติแน่นอน

 เมื่อได้ที่เหมาะจัดการกางขาตั้งติดกล้องให้เรียบร้อยมั่นคง ปรับเมนู ถ้าแสงไม่พอก็นำไฟฉายเล็กๆที่เราเตรียมมาหรือหากมีเพื่อนช่วยก็ให้เพื่อนคอย ส่องไฟฉายให้ให้ ตั้ง ISO 400 หรือ 200 เพื่อคุณภาพ  ปรับค่ารูปรับแสง  F8-F16  เลือกโฟกัสให้ดีถ้าไมได้ใช้ไฟฉายส่องนำ WB ผมใช้ auto หรือทังสเตท หรือถ้ามันยุ่งยากก็เดย์ไลท์มันเลย ออกเขียวๆ หรือถ่ายrawมาปรับที่หลัง วัดแสงตามที่บอกหรือใช้ค่าเฉลี่ยทั้งภาพแล้วชดเชยไปทางลบสัก 1-2 สต๊อปเอาอยู่แน่นอน

 จัดองค์ประกอบให้ดี ไม่ต้องรีบค่อยๆมอง เลือกให้ดีจะใช้แบบไหนหรือนำจุดตัด9ช่องมาใช้ ถ้าอยากให้เห็นความยิ่งใหญ่ของถ้ำ หรือขนาดถ้ำ ก็หาจุดวัดถุมาเทียบ ง่ายๆ คือ ใช้เพื่อนไปยืนเทียบเพื่อให้เห็นความต่างของขนาดถ้ำเทียบกับตัวคน จัดองค์ประกอบ โฟกัส,วัดแสง,ปรับแต่งอะไรเรียกร้อยแล้วก้กดชัตเตอร์ได้เลย...ได้ภาพชัว ร์แน่นอน
ใช้คนหรือวัตถุไปยืนเทียบ เพื่อให้เห็นความยิ่งใหญ่ของถ้ำ


 ในยุคดิจิดอลไม่น่ากลัว ถ่ายแล้วมองดูภาพ ถ้ายังไม่ดีถ่ายใหม่ ถ้าภาพมืดไปก็ชดเชยไปทางบวกสักนิด ถ้าสว่างก็ชดเชยไปทางลบอีก องค์ประกอบดีแล้ว เช็คว่าภาพชัดแล้วก็กดอีกครั้ง....ได้ภาพมาโพสแล้ว

เห็นไหมละครับว่าถ่ายภาพในถ้ำง่ายที่คิด แค่เรารู้เคล็ดนิดหน่อย และในยุคดิจิดอลด้วยแล้วไม่ยากเลย  ที่นี้เราก็หาเวลาไปเที่ยวถ่ายภาพในถ้ำแล้วนำมาโพสให้คนได้ชมกันได้แล้ว ครับ.....รอดูภาพอยู่น่ะครับ



เรื่อง/ภาพ ช.ช้าง
copyright by klongdigital.com

Photo T.I.Y. 001 : มาเลือกฉากหลังด้วยแสงกันดีกว่า

 มาเลือกฉากหลังด้วยแสงกันดีกว่า



ก่อน อื่นแนะนำตัวกันก่อนนะครับว่า Photo T.I.Y. นี่ผมย่อมากจาก Photo?Take It Yourself ครับ ^^ ล้อ D.I.Y ซะหน่อย...จะเน้นอะไรที่เอาไปใช้ได้ไม่ยากนะครับ
โดยจะแบ่งเป็นส่วนขั้นตอนง่ายๆในช่วงแรก...สำหรับคนที่อยากอ่านเร็วๆแล้วเอาไปเล่นกันเลย
และส่วนสรุปในตอนหลัง...ที่เป็นเนื้อหาเน้นๆขึ้นอีกนิด
 
เริ่มกันเลยละกัน...
เคย เจอปัญหานี้มั๊ยครับ...ทำไมถ่ายมาแล้วแบบไม่เด่นเลยวุ้ยยยยยยย...โอ้แม่จ้าว ววววววววว!!!ไมภาพไม่มีมิติเลยคร๊าบบบบบบพี่น้องงงงงงงง....
วันนี้เลยมานำเสนอ Photo T.I.Y ง่ายๆครับที่จะทำให้แบบของเราเด่นขึ้นมา และรูปของเราดูมีมิติมากขึ้นครับ
 
ด้วยขั้นตอนง่ายๆแบบนับ หนึ่ง สอง ซั่ม เราก็จะมีฉากหลังที่ทำให้แบบเราโดดเด้งดึ๋งดั๋งกันแล้วครับ...เริ่มกันเลยดีกว่า
 
 
1. ก่อนอื่นต้องเตรียมความพร้อมกันก่อนครับ ลองฝึกแยกให้ออกว่าอะไรมืด อะไรสว่าง อันไหนมืดกว่า หรืออันไหนสว่างกว่า สว่างหรือมืดต่างกันมากน้อยเท่าไหร่?ถ้ามองออกแล้วก็เริ่มกันเลยครับ
 
 
2. หลักง่ายๆก็คือหาฉากหลังที่ ?สว่างกว่า? หรือ ?มืดกว่า? แบบนั่นเองครับ ส่วนจะสว่างหรือมืดกว่ามากน้อยก็แล้วแต่ความชอบแล้วครับ
 
 


บางครั้งแค่เราขยับกล้องไป ซ้ายนิด ขวาหน่อย สูงขึ้น หรือ ต่ำลง เราก็จะได้ฉากหลังที่ต่างกันออกไปอย่างไม่แน่เชื่อแล้วคร๊าบบบบบ...
 
 
 
ตอนนี้มาดูตัวอย่างกันครับ?เริ่มจากเลือกฉากหลังให้มืดกว่าตัวแบบก่อนนะครับ
 
 
ภาพตัวอย่าง การเลือกฉากหลังโดยใช้แสงธรรมชาติ(มืดกว่าตัวแบบ)
 
ภาพตัวอย่าง การเลือกฉากหลังโดยใช้แสงธรรมชาติ(มืดกว่าตัวแบบ)

 
ภาพตัวอย่างการกำหนดแสงด้วยการใช้แฟลช(มืดกว่าตัวแบบ)
 
ภาพตัวอย่าง การกำหนดแสงด้วยการใช้แฟลช(มืดกว่าตัวแบบ)
 
สองรูปแรกเป็นการเลือกโดยใช้แสงธรรมชาติ ส่วนสองรูปหลังเป็นการกำหนดแสงโดยใช้ไฟแฟลชครับ
 
ตอนนี้มาดูแบบที่ฉากหลังสว่างกว่าบ้างครับ
 

ภาพตัวอย่าง การเลือกฉากหลังโดยใช้แสงธรรมชาติ(สว่างกว่าตัวแบบ)siluate
 
 
ภาพตัวอย่าง การเลือกฉากหลังโดยใช้แสงธรรมชาติ(สว่างกว่าตัวแบบ)
 
 
ภาพตัวอย่าง การเลือกฉากหลังโดยใช้แสงแฟลช(สว่างกว่าตัวแบบ)
 

สองรูปแรกเป็นการเลือกโดยใช้แสงธรรมชาติ ส่วนรูปสุดท้ายเป็นรูปที่จัดไฟแฟลชครับ
(รูปแรกนั้นเรามักจะเรียกว่า?การถ่ายเงาดำ (siluate) ? นั่นเองครับ...เป็นการถ่ายเพื่อเน้นรูปทรงของแบบ)
 
 
บทสรุป
ถึงบรรทัดนี้ขอพูดเป็นเรื่องเป็นราวกันนิดสสสสส์นึงละกันนะครับ
วิธี ที่จะทำให้ภาพเราดูน่าสนใจมีด้วยกันหลายวิธีครับ หนึ่งในนั้นคือการสร้างความต่างของสิ่งที่อยู่ในภาพ โดยเฉพาะความต่างของแบบและฉากหลัง
 
การสร้างความต่าง นั้นทำได้หลายวิธีครับ ไม่ว่าจะเป็นต่างกันด้วย สี, ขนาด, เพศ, ทิศทาง, ความชัดเบลอ (ที่เรามักเรียกว่าหลังเบลอนั่นแหละครับ), ... และ ที่ขาดไม่ได้...คือสร้างความต่างด้วยความสว่างมืดของแสง
 
 
โดยมากแล้วที่พบเยอะหน่อยจะเป็นการเลือกฉากหลังที่สว่างน้อยกว่าตัวแบบครับ
ซึ่งจะเห็นมากในงานแฟชั่น ที่เรียกวิธีนี้กันว่า การ Drop Background เพื่อดึงให้ตัวแบบเด่นออกมาจากฉากหลังนั่นเอง
นอกจากนี้ในงานรูปแบบอื่นไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพสัตว์, การถ่ายมาโคร, การถ่ายสินค้า,... ก็ใช้หลักการนี้ในการเน้นจุดสำคัญของภาพ
 

เท่านั้นยังไม่พอครับ ในงานศิลปะอื่นๆก็จะเห็นว่ามีการใช้เทคนิคนี้ไปใช้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นงาน Graphic, ภาพยนต์, โฆษณา, ...
 

ผมเชื่อว่าปกติคงมีหลายๆคนกลับมาแต่งรูปที่บ้านโดยการเพิ่มให้แบบสว่างขึ้นและทำให้ฉากหลังมืดลง...ซึ่งก็เป็นหลักเดียวกัน
 

ถ้าเราทำตั้งแต่ขั้นตอนการถ่ายภาพเลย ผมว่าคงจะดีไม่น้อยเลยครับ
 
ขั้นแรกจึงอยากให้ลองกลับไปเปิดภาพในหนังสือดูครับ...หรือรูปที่เราชอบๆก็ได้
จะเห็นการใช้เทคนิคนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
 
ขั้นต่อมาอยากให้การถ่ายภาพในครั้งต่อๆไปลองสังเกตและใส่ใจกับฉากหลังมากขึ้นครับ
นอกจากจะดูไม่ให้ฉากหลังรกแล้วนั้น ลองสังเกตความสว่างมืดของฉากหลังกับแบบด้วย เชื่อว่ารูปที่ได้คงดูน่าสนใจขึ้นเป็นแน่ ^^
 
ขอให้สนุกกับการถ่ายภาพนะ
 
เรื่อง/ภาพ Fookphoto

กฏ 3 ส่วน

กฏ 3 ส่วน



การจัดวางตำแหน่งหลักของภาพถ่าย เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดผลทางด้านแนวความคิด และความรู้สึกได้ การวางตำแหน่งที่เหมาะสมของจุดสนใจในภาพ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ และที่นิยมกันโดยทั่วไปคือ ?กฎสามส่วน?

กฎสามส่วนกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าภาพจะอยู่แนวตั้งหรือแนวนอนก็ตาม หากเราแบ่งภาพนั้นออกเป็นสามส่วน ทั้งตามแนวตั้งและแนวนอน แล้วลากเส้นแบ่งภาพทั้งสามเส่น จะเกิดจุดตัดกันทั้งหมด 4 จุด ซึ่งจุดตัดของเส้นทั้งสี่นี้ เป็นตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการจัดวางวัตถุที่ต้องการเน้นให้เป็นจุดเด่น หลัก ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้น เป็นส่วนสำคัญที่รองลงมา
การจัดวางตำแหน่งจุดเด่นหลักไม่จำเป็นจะต้องจำกัดมากนัก อาจถือเอาบริเวณใกล้เคียงทั้ง สี่จุดนี้
จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าจุดสนใจจะอยู่บริเวณจุดตัด ทำให้ภาพดูสมบูรณ์
ในรูปแนวตั้งก็เช่นเดียวกัน
หรือจะจัดในตำแหน่งที่ใกล้เคียงก็ได้
นอกจากนี้เรายังสามารถใช้แนวเส้นแบ่ง 3 เส้นนี้ เป็นแนวในการจัดสัดส่วนภาพก็ได้อย่างการจัดวางเส้นขอบฟ้าให้อยู่ในแนวเส้น แบ่ง โดยให้ส่วนพื้นดินและท้องฟ้าอยู่ในอัตราส่วน 3:1 หรือ 1:3 แต่ไม่ควรแบ่ง 1: 1

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า อัตราส่วนระหว่างพื้นดินกับท้องฟ้าเป็น 1:3 นอกจากนี้ตำแหน่งจุดสนใจยังอยู่ที่บริเวณจุดตัด ทำให้ภาพดูสมบูรณ์ และน่าสนใจยิ่งขึ้น และเรายังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดองค์ประกอบภาพอื่นๆ โดยใช้หลักการเดียวกัน

10 วิธี การถ่ายภาพขาวดำ โดยกล้องดิจิตอล

10 วิธี การถ่ายภาพขาวดำ โดยกล้องดิจิตอล ให้มีประสิทธิภาพ โดย ช.ช้าง



การถ่ายภาพขาวดำไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เรารู้จักวิธีการเริ่มต้นที่ดีก็จะสามารถทำให้ภาพถ่ายที่เราจะนำไป ทำเป็นภาพขาวดำให้ออกมาสวยงามได้ง่ายขึ้น  การเตรียมภาพที่ดี รู้จักมุมมอง รู้จักโทนในการถ่ายภาพ รู้จักขั้นตอนต่างๆ เท่านี้คุณก็จะได้ภาพขาวดำไปอวดใครต่อใครแล้ว วิธีการมีดังนี้
 
 

1. ให้ถ่ายภาพด้วย RAW ? อธิบายง่ายๆ ก็คือ ให้กล้องมันเก็บรายละเอียดเอามาให้หมดแบบไม่บีบอัด ไม่เหมือนไฟล์ JPEG ที่ลดรายละเอียดลงเยอะเลย สังเกตกันง่ายๆ โดยไฟล์ raw ไฟล์จะใหญ่กว่า ฉะนั้นตั้งค่าในกล้องให้เป็น RAW เต็มความจุของกล้องไปเลย ง่ายๆ แค่นี้ล่ะ
 
 
 
2. หาฟิลเตอร์ ND และ C-PL มาใส่ซะ - รีบไปซื้อมาใส่เลย โดยเจ้าตัว ND นี้ จะได้ใช้เวลาเราถ่ายท้องฟ้ากับพื้นดินที่ค่าแสงมันต่างกันมาก แบบว่าเราถ่ายฟ้าพอดี เอ๊ะ ทำไมพื้นดินมืด ถ่ายพื้นพอดี ฟ้าขาวอีก นั้นล่ะเอาไปใส่ซะ เพื่อให้มันลดค่าแสงให้ออกมาพอดี ทั้งท้องฟ้าและพื้นดินเลยง่ายมาก ส่วนฟิลเตอร์โพลาไรซ์ (Polarizer filter) หรือเรียกง่ายๆ ว่า PL แล้วกัน ใส่แล้วทำให้ท้องฟ้าเข็มขึ้น เวลาเราเอามาทำขาวดำมันจะได้ค่าเปรียบต่างกันสวยเชียวล่ะ หรือใช้ถ่ายน้ำตกให้มันพลิ้วๆ ไหวๆ อีกอย่างมันลดแสงด้วยก็ดูดิมันมืดขนาดนั้น
 
 
 
 
3. ตั้งค่า ISO ให้ต่ำถึงต่ำที่สุด - ทำไมต้องต่ำ ก็เพราะเราจะเอาไปแต่งในโปรมแกรมแต่งภาพต่อไปไง และต้องให้กล้องเราถ่ายมาดีที่สุดแบบไม่เอา noise เพราะ noise หรือเกรนในสมัยฟิล์ม ทำใน PS สวยกว่า หลากหลายกว่าด้วย  เพราะฉะนั้นอย่าลืมขาตั้งนะจะบอกให้เพื่อความคมชัด
 
ตั้งค่า ISO ให้ต่ำที่สุด
 
 
4. ระวังเวลาถ่ายภาพที่สภาพแสงแตกต่างกันเยอะ ?เราก็ทราบกันดีแล้ว ว่ากล้องดิจิตอลพอขาวหน่อยจะขาวหมดรายละเอียด แบบเนี่ยไม่ดี เราต้องระวัง ถ้าเราจะถ่ายลองหัดวัดแสง โดยใช้ระบบวัดแสงแบบเฉพาะจุด หรือเฉพาะส่วนไปเลย ที่นี้เราก็เอาหลักวัดแสงโทนสว่างโทนมืดมาปรับ ง่ายๆ ถ้าถ่ายแล้วโทนสว่างก็ปรับชดเชยไปทางบวกสัก ? หรือ 1 stop หรือกลับกันถ้ามันโทนมืด เราก็ชดเชยไปทางลบสัก ครึ่ง ถึง 1 stop เช่นกัน แต่จะเท่าไรลองมองในจอ lcd ดู ฝึกหลายครั้ง ครั้งต่อไปนึกแล้วชดเชยตามได้เลยเชียว
 
 
 
5.  ตั้งค่าไวท์บาลานซ์ให้ถูก  ถ้าตอนแรกเราถ่ายเป็น RAW ไม่ต้องกลัว เรามาปรับภาพทีหลังในโปรแกรมได้ แต่ถ้าเราถ่ายแบบ JPEG ให้ตั้งให้ถูกตามคำแนะนำในกล้องหรือจำง่ายๆ ถ่ายกลางแจ้งตั้งเป็นdaylight เลย อันนี้มันจะมีผลต่อโทนเราอีกด้วยน่ะเจ้าไวท์บาลานซ์เนี่ย
 
 
การตั้งค่า ไวท์บาลานซ์
 
 
6. อย่าถ่ายด้วยโหมดขาวดำในกล้อง  อันนี้ห้ามเลย ให้ถ่ายด้วยภาพสีธรรมดาเนี่ยล่ะ แล้วเราก็ไปปรับแต่งในโปรแกรมแต่งภาพต่อไป ที่สำคัญจำไว้ว่า เวลาเราถ่ายเป็นขาวดำภาพจะออกเทากลางๆ ลองสังเกตดูแบบนี้โทนขาวดำก็ไม่ดีสิ อีกอย่างเวลาเราถ่ายสีเรายังนำไปใช้ได้อีก
 
 
7. ปรับค่าในกล้องให้เป็นโหมดกลางๆ  ที่ให้ปรับกลางๆ สาเหตุเพราะเราต้องการถ่ายขาวดำให้มีโทนตั้งแต่มืดไปสว่างให้มันมากที่สุด เก็บรายละเอียดมาดีที่สุด เข้าไปเมนูในกล้องแต่ละคนแล้วปรับดังนี้  ?เริ่มด้วยการปิดระบบ Sharpening และระบบลด Noise ในเครื่องเป็นอันดับแรกเลย แล้วเลือกใช้ Colour Space เป็น Adobe 1998 (ผลทางด้านรับช่วงสี) และปรับค่า Saturation เป็นค่ากลาง แต่ต้องหลีกเลี่ยงการปรับตั้ง Contrast เพราะมันจะบีบโทนของภาพเราให้แคบ? แค่นี้ก็ได้โทนมาเยอะเลย
 
 
8. ดูฮิสโตแกรมในเครื่อง ? เวลาถ่ายเสร็จลองดูฮิสโตแกรมไม่ว่าจะถ่ายเป็น RAW ไฟล์หรือ JPEG มันจะบอกภาพเราว่าถ่ายมืดไปหรือสว่างเกินไปได้ ง่ายๆ ถ้ามันเทไปซ้ายก็อาจจะภาพมืด ถ้ามันเทไปขวาก็อาจจะภาพสว่าง วิธีดีที่สุดดูให้มันอยู่กลางๆ และสม่ำเสมอนั้นล่ะดีที่สุดแล้ว ได้โทนมาครบด้วย จริงๆ มันต้องดูรวมทั้งภาพล่ะ
 
ตัวอย่างภาพฮิสโตรแกรม
 
 
9. ลองใส่ฟิลเตอร์ในตัวกล้อง  - สำหรับกล้องคอมแพ็ค หรือกล้องที่ไม่สามารถปรับเป็นโหมด RAW ได้ เพื่อ ความแปลกตา เพื่อโทนที่ดีขึ้น และทำให้ภาพขาวดำเราสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ และถ้าเราเข้าใจหลักพื้นฐานเรื่องโทนก็จะไปไกลอีก ลองหัดใส่แล้วถ่ายดูหลายๆ แบบ
 
 
 
10. หัดมองเป็นขาวดำ ? ก็คือมองและนึกว่าโลกนี้มันขาวดำมองแบบโทนหรือจำง่ายๆ ความเข้มที่ไล่จากดำไปเทาไปขาวนั้นล่ะเรียกว่าโทนแล้ว ดูว่าสีแดงโทนแบบไหน สีเขียวโทนแบบไหน สีนั้นสีนี้โทนแบบไหน เพราะขาวดำน่ะบางที่จากภาพสีที่เราคิดว่าสีจ๊าบๆเวลาแปลงเป็นขาวดำอาจจะโทน เท่ากันเลยก็ได้ อันนี้อยู่ที่การฝึกและเรียนรู้กันล่ะครับ
 
 
ทั้ง 10 ข้อ ถ้าเรานำไปถ่ายภาพขาวดำน่ะเราก็จะได้ภาพที่ดีขึ้น ภาพที่สวยขึ้น และยิ่งเราเอามาแต่งด้วยโปรแกรมขาวดำ รู้วิธีและหลักนิดหน่อย ภาพขาวดำคุณก็จะสวยขึ้นอีกมากเลย ลองทำดูสิ
 
 
 
เรื่อง/ภาพ ช.ช้าง

ซองกันน้ำ Dicapac ใช้งานได้ดีมากน้อยแค่ไหน

ซองกันน้ำ Dicapac ใช้งานได้ดีมากน้อยแค่ไหน

 เมื่อช่วงก่อนตรุษจีนที่ผ่านมาผมและเพื่อนๆ (เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่..คบกันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยโน้น) ไปเที่ยวทะเลและดำน้ำตื้นกัน ซึ่งกิจกรรมนี้พวกผมทำกันทุกปีจนปีที่ก็เป็นปีที่ 12 แล้วล่ะครับ โดนทุกปีก็จะมีการถ่ายรูปใต้น้ำด้วยแต่อาศัยกล้อง Compact กับ Housing มาตลอด ปีนี้อยากได้ภาพสวยๆ บวกกับที่ร้าน Digital2home สั่งซองกันน้ำของ Dicapac รุ่น WP-S10 ซึ่งเป็นซองสำหรับกล้อง SLR หรือ DSLR ก็เลยได้โอกาสถอยของใหม่ไปลองกัน ที่จริงด้วยความที่มีโอกาสไปดำน้ำอยู่บ่อยเห็นชาวต่างชาติใช้ซองแบบนี้กันมา นานสำหรับการน้ำตื้นหรือที่เรียกกันว่า Snorkeling แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมของคนไทยนัก ผมว่าสาเหตุก็ไม่พ้นมาจาก “จะไว้ใจได้หรอกล้องชุดละครึ่งแสนนะเนี่ย ถ้าเกิดน้ำเข้าละก็น้ำตาตกแน่ๆ” อันนี้ผมลอกคำพูดของเพื่อนที่ไปด้วยกันและผมบอกว่าจะเอากล้องตัวใหญ่ลงโดย ใช้ซอง Dicapac มาเลยนะเนี่ย ส่วนจะให้ซื้อ Housing สำหรับกล้อง DSLR นั้นก็ไม่กล้าด้วยสนนราคาที่แพงว่าตัวกล้องพร้อมเลนส์ซะอีก….. “_ _

เอาล่ะอัมภบทมานานแล้ว มาดูกันก่อนว่าอุกรณ์ที่ผมใช้คืออะไรกันบ้าง
ตัวผมเองใช้กล้อง Nikon D5000 และเลนส์ที่เอาไปใช้ในคร้ังนี้คือ Tamron 17-50 VC และซองกันน้ำ Dicipac รุ่น WP-S10 สาเหตุที่เลือกพกเลนส์ Tamron ไปเนื่องจากต้องการเลนส์ที่สามารถเปิดค่ารูรับแสงหรือค่า F ให้ได้ถึง 2.8 ซึ่งจะเหมาะกับการถ่ายใต้น้ำที่อาจเจอสถานการณ์แสงน้อยได้ ส่วนขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนนำเจ้าซอง Dicapac ลงน้ำคือการทดสอบการรั่วซึมของซอง ซึ่งวิธีการที่ง่ายๆ และใช้กันไม่ว่าจะเป็น Housing แบบใดก็ตาม คือการเอากระดาษทิชชูใส่เข้าไปในซอง Dicapac แล้วปิดให้สนิทตามขั้นตอนการใช้งานจริง จากนั้นก็นำไปกดลงในอ่างน้ำซึ่งผมจับลงในอ่างแช่ตัวในโรงแรม(เสียดายลืมถ่าย ภาพให้ดู) จากนั้นก็เอาทิชชูออกมาดูว่ามีอาการเปียก ชื้น ในส่วนไหนบ้างหรือเปล่าถ้าไม่มีแสดงว่าซองอยู่ในสภาพพร้อมลุย 100% ในการจับซองกดลงน้ำผมแนะนำว่าให้สังเกตุหน่อยว่าทุกส่วนจมน้ำจริงและแช่ ประมาณ 3-5 นาที เพื่อให้เกิดว่าแน่ใจว่าเวลาเราเอาลงแช่น้ำนานๆ แล้วจะไม่มีปัญหาตามมา
ข้อสังเกตุเรื่องการประกันสินค้าของซองกันน้ำคือ
1. การประกันจะประกันที่ซองมีการรั่วซึมจากการผลิต ไม่ใช่จากการใช้งาน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำทันทีหลังจากที่ซื้อสินค้าจำพวกนี้คือการทดลองโดยใช้ กระดาษทิชชูก่อนการใช้งานกับกล้องจริงนะครับ ถ้าพบว่ามีการรั่วซึมให้รีบแจ้งทางร้านค้าเพื่อของเปลี่ยนตัวใหม่ก่อนทันที
2. ระวังเรื่องการถูกเกี่ยวหรือของมีคมแทงทะลุซึ่งจะเป็นสาเหตุให้น้ำรั่วซึ่ม ได้ โดยเฉพาะการเดินทางไปกันเรือแล้วเราวางไว้กับพื้นเรือจะมีโอกาสที่ตะปูหรือ เศษไม้แทงทะลุถุงกันน้ำได้ ควรเอาถุงใส่ในถุงผ้าหรือเป้กันน้ำอีกชั้นในระหว่างที่อยู่บนเรือหรือก่อนลง ดำน้ำนะครับ
3. การเอากล้องลงน้ำแนะนำให้ตัวเราเองลงไปในน้ำก่อนโดยฝากกล้องไว้กับเพื่อน หรือคนเรือให้ยืนให้เราที่หลังการกระโดดลงไปพร้อมกล้องและซองอาจมีโอกาสที่ จะทำให้ซองนั้นมีรอยเปิดได้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำซึมเข้าไปเช่นกันนะครับ
4. อ่านข้อจำกัดของอุปกรณ์ที่ใช้ในแต่ละรุ่นให้ดี บ้างรุ่นลงน้ำให้ลึกแต่บ้างรุ่นได้ตื้นๆ หรือไม่สามารถลงน้ำได้กันได้แต่น้ำสาดก็มี อันนี้ต้องอ่านให้ดีก่อนนะครับ
การเซ็ต Mode สำหรับการถ่ายภาพใต้น้ำด้วยกล้อง DSLR
เท่าที่ผมไป Search หาใน Internet พบว่าการแนะนำส่วนใหญ่จะเป็นการแนะนำสำหรับการถ่ายแบบดำน้ำลึกซะมากกว่า อย่างเช่นให้ Set ISO 100 ค่า Speed shutter ที่ 150-200 และรูรับแสงที่ 4.5-5.6 ซึ่งผมเองก็ลองทำตามแต่พบปัญหาค่อนข้างเยอะที่เดียวเนื่องจากการดำน้ำตื้น นั้นสภาวะแสงเปลี่ยนแปลงบ่อยมากทำให้การเช็ตค่าแบบ Manual นั้นจะเพี้ยนบ่อยและในกล้อง DSLR ก็ไม่มี Mode สำเร็จรูปสำหรับการถ่ายใต้น้ำซะด้วยสิ ผมเลยใช้ Mode auto แบบ Nop Flash แทนซึ่งภาพที่ได้ออกมาถือว่าา Ok เลยที่เดียวครับ ส่วนการต้ังเรื่อง Shutter นั้นผมตั้งแบบถ่ายต่อเนื่อง และถ่ายภาพ Viewfinder ซึ่งการใช้งานนั้นจะยากสักหน่อยแต่ภาพที่ได้ชัดเจนและเร็วกว่าการถ่ายผ่านจอ LCD ครับ เนื่องจากการถ่ายภาพผ่านจอ LCD นั้นกว่าจะ Focus ได้ช้ามากโดยเฉพาะ Nikon ภาพที่ได้เบลอเยอะมาก
เอาล่ะเรามาดูขั้นตอนและรุปกันเลยดีกว่าครับ


อันนี้เป็นขั้นตอนเอากล้องใส่ลงในซองกันน้ำ Dicapac ตอนนี้ที่ใส่นี้อยู่ Lobby หน้าโรงแรมรอรถมารับไปอยู่ครับ

ขั้นตอนนี้เอาตัวผมเองลงมาในน้ำก่อนโดยให้คนเรือช่วยส่งกล้องให้ที่หลัง ครับ และได้กล้องเพื่อนเป็น Canon A series พร้อม Housing ช่วยบันทึกภาพคู่กันให้ (แต่ระหว่างปฎิบัติงานน้ันกล้อง Canon A series ดันเกิดอาการดับไปทำให้ไม่สามารถบันทึกภาพคุ่ขนานกันได้ต่อจึงเหลือแต่ของผม แต่เพียงตัวเดียวใน trip นี้ก็ถือว่าโชคดีไปครับที่ยังมีกล้องถ่ายภาพในน้ำกันอยู่อีกตัว)

ทั้ง 2 ภาพนี้เป็นตัวอย่างของการ Set ISO ขึ้นไปมากเกินทำให้ภาพที่ได้สว่างเยอะเกินไป และที่ภาพด้านซ้ายมือติดขอบเลนส์ของซองกันน้ำเนื่องจาก ผมเปิดหน้าเลนส์ไว้ที่ 17mm ทำให้มีช่องว่างระหว่างซองกับเลนส์ ซึ่งวิธีแก้ไขเบื้องต้นในขณะน้ันของผมคือการจัดเลนส์หน้าซองให้กระชับกับ เลนส์กล้องก่อนถ่ายก็เลยได้ภาพที่ 2 นี้มา อันนี้ไม่ติดหน้าเลนส์แล้วล่ะครับ
แต่ในระหว่างการใช้งานก็มีอยุ่บ้างที่เผลอ ปล่อยมือทำให้ภาพที่ได้ยังเห็นเรื่องการติดขอบของเลนส์หน้าซองอยู่ครับ อ้อภาพคราวนี้ผมลองใช้ Scene Mode ในกล้อง Nikon แบบ Dust/Dawn ภาพที่ได้จะเป็นภาพในโทนสีฟ้าเป็นหลัก
ภาพในชุดนี้ทั้ง 4 ภาพเป็นการถ่ายโดยใช้ Mode auto แบบ No flash มีทั้งปลาเสือ ปะการังสมอง และอื่นๆ (ผมจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไรนะสิ) ภาพที่ถ่ายออกมาถือว่าชัดเจนที่เดียว
เนื่องจากตัวซองกันน้ำ Dicapac รุ่น WP-S10 ระบุว่ากันน้ำได้ในระดับผิวน้ำไม่เหมาะกันการดำน้ำลึกแต่ก็รองรับความลึกได้ มากถึง 5 เมตร สิ่งที่ผมท้าทายและลองดูคือว่ามันทำได้จริงหรือเปล่า ตอนี้ที่คิดจะลองก็ยอมรับว่าเสียวๆ อยู่เหมือนกันครับแต่ว่า….ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงก็เลยลองถ่ายโดยกดกล้องลงใต้ น้ำที่ระดับ 2 เมตรโดยประมาณก่อน อันนี้คือภาพที่บัทึกได้ครับถือว่าชัด Ok อยู่  และคราวนี้ผมแก้อาการติดขอบของซองโดยการปรับมุมเลนส์จาก 17mm เป็น 35mm แทนครับทำให้ตัวเลนส์ยืนไปสุดกับช่วงซองเลนส์พอดีที่นี้ก็เลยไม่ติดปัญหา ถ่ายติดขอบอีกแล้วล่ะครับ

สรุปแล้วภาพรวมของการใช้กล้อง DSLR กับซองกันน้ำ Dicapac ในมุมมองของผมถือว่า OK เลยครับ
สิ่งสำคัญคือการทดสอบก่อนใช้งานจริงและทำตาม ขั้นตอนให้ครบถ้วนโดยเฉพาะการปิดผนึก Zip Lock ต้องเช็คหลายๆ รอบหน่่อยเพื่อให้มั่นใจว่าเราปิด Zip Lock สนิททั้งหมดจริง แค่นี้ก็ทำให้เราไม่พลาดกับการถ่ายภาพใต้น้ำแล้วครับ แต่ถ้าใครยังไม่กล้าพอผมก็บอกได้ว่าเราสามารถใช้ Dicapac ตัวนี้ใส่กล้องสำหรับเทศกาลสงการณ์ที่จะถึงนี้ก็ต้องเรียกว่า OK เลยที่เดียวครับได้ภาพคมสวยในราคาของอุปกรณ์ที่ไม่แพงเกินไปนัก