I'M Zwei

I'M Zwei
Welcome To blogger of Zwei

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กล (โกง) ร้านกล้อง

กล (โกง) ร้านกล้อง
ในยุค ที่ข้าวยาก หมาก(น่าจะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน)แพง จะจับจ่ายใช้สอยอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง โดยเฉพาะกล้องด้วยแล้ว ราคาไม่ใช้น้อยเลย ขยับตัวก็เป็นหลักพันทั้งนั้น
ในวง การร้านขายกล้อง ก็มีการแข่งขันกันสูงมาก กำไรก็น้อยลง ผู้บริโภคก็ฉลาดขึ้น หันมาเช็คราคาของก่อนไปซื้อเป็นอย่างดี ทำให้กรณี?ต้มหมู? เหมือนสมัยยุคก่อนๆทำได้ยากมาก ผมเคยไปแอบดูร้านของเพื่อนที่มันขายกล้องอยู่ คุณเชื่อไหม ว่ากล้องบางรุ่นกำไร 2-3 ร้อยบาทเท่านั้นเอง เทียบกับราคากล้องที่เหยียบหลักหมื่นกันทั้งนั้น คุณลองคิดดูว่าถ้าขายไม่ออกซักตัว 2 ตัวก็ลำบากแล้ว(น่าเห็นใจ) แต่ในเรื่องนี้ผู้บริโภคอย่างเราไม่เกี่ยว(ก็อยากเปิดร้านขายเองนี่หว่า ตูไม่ได้บังคับซักหน่อย) แต่ที่เกี่ยวก็คือกลยุทธหลอกลวงผู้บริโภคแบบหลอกลวงนี่ซิที่ผมยอมไม่ได้ และต้องมาแฉให้ทุกคนได้รู้ไว้

กลยุทธที่ผมเคยเจอมาเอง(สมัยยังเป็นหมูให้เค้าเชือด) และจากที่ได้ยินได้ฟังมาพอจะสรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. แสดงราคาขายไว้ แต่เป็นราคาที่เอาอุปกรณ์มาตรฐานออก
ข้อนี้เรามักจะเจอกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าร้านดังๆหลายๆร้านเคยใช้วิธีนี้ จริงๆแล้วโดยปกติถ้าเป็นกล้องรุ่นเดียวกัน ทางตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จะแถมอุปกรณ์มาตรฐานมาให้เหมือนกันทุกร้านอยู่แล้ว เช่น รุ่นนี้จะแถม
memory เท่าไหร่ แบตเตอรี่หรือกระเป๋ากล้องมีมั๊ย แต่เนื่องจากในยุคที่อินเตอร์เนตเข้ามามีผลกับชีวิตประจำวัน คนที่จะซื้อกล้องเป็นจำนวนมากจะเช็คราคากล้องผ่านระบบ internet ก่อน ว่าร้านไหนถูกสุด จึงทำให้มีบางร้านที่หัวใส (แถวบ้านผมเรียกขี้โกง) ใส่ราคาไว้ใน internet ราคาถูกกว่าชาวบ้าน แต่พอไปถึงร้าน กลับบอกว่า ต้องซื้อโน่นเพิ่มบ้าง นี่เพิ่มบ้าง หรือแถมน้อยกว่าชาวบ้านบ้าง ทั้งที่ร้านอื่นแถมให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน(หมายถึงบริษัทแม่แถมมาให้อยู่ แล้ว) พอรวมๆราคาแล้ว ราคาแพงกว่าชาวบ้านเค้าซะงั้น แต่ทำไงได้ละว่ะ ก็มาถึงร้านแล้วนี่ ยังไงก็ต้องซื้อ
สำหรับ วิธีการแก้ไขสำหรับกรณีนี้คือ ก่อนจะไปซื้อเช็คให้ดีก่อนหลายๆร้าน โทรศัพท์ที่มีนะใช้ให้เป็นประโยชน์ เช็คให้ดีว่ารุ่นนี้เค้าแถมอะไรบ้าง เท่าไหร่ ที่สำคัญคือ
-  Memory แถมเท่าไหร่  32,64,128 , 256 หรือ 512 เช็คให้ดี ถามให้ชัดเจนว่า ?แถม? หรือต้องซื้อเพิ่ม โดยส่วนใหญ่(99%)กล้องดิจิตอลทุกรุ่นจะมีแถมมาด้วยอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
- Battery แถมรึเปล่า ซึ่งอันนี้ก็ไม่แน่บางรุ่นก็ไม่แถม โดยเฉพาะรุ่นที่ราคา ไม่ถึง 12,000 นี่ไม่ค่อยแถมครับ ต้องซื้อเพิ่ม
- กระเป๋า อันนี้ก็แล้วแต่รุ่นเหมือนกัน บางทีทางร้านก็แถมของทางร้านเองให้
- ขาตั้งกล้อง อันนี้ไม่ค่อยแถมครับ ส่วนใหญ่จะเป็นของทางร้านเอง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็แถมของโหล ใช้งานไม่ค่อยได้)  หรือถ้ามีแถมมาจากผู้ผลิต ก็จะเป็นอันเล็กๆ เหมาะจะเอามาประดับซะมากกว่า
แต่ หากไปถึงร้านแล้วปรากฏว่า ไม่เป็นอย่างที่พูด หรือเห็นว่าเข้าข่าย ?หลอกกันนี่หว่า? แล้วละก็ วิธีการเดียวคือ ?กลับ? ครับ อย่าไปซื้อของมัน ถ้าไม่อย่างนั้นเท่ากับเป็นการส่งเสริมไอ้พวกนี้ให้ได้ใจใหญ่เลย
2. แสดงราคาขายที่เป็นราคาเครื่องหิ้ว แต่เขียนให้เข้าใจผิดว่าเป็นราคาเครื่องศูนย์
กำไรของการขายเครื่องหิ้วและเครื่องศูนย์ต่างกันพอสมควรครับ อีกอย่างเครื่องศูนย์ มักจะมีการกำหนดราคาขายมาตายตัวมาจากบริษัทแม่(บางบริษัท นะครับ ไม่ใช่ทุกยี่ห้อ) ว่าให้ขายราคาเท่ากันหมด ทำให้ตัดราคาขายไม่ได้ จึงมีบางร้านหัวใส(อีกแล้ว) ใส่ราคากล้องไว้ในเว็บว่าราคาของตูถูกกว่าเป็นพันบาท แต่พอไปถึงร้านแล้ว ขอโทษ ไม่ใช่เครื่องศูนย์ครับ เป็นเครื่องหิ้ว(เรียกอีกอย่างว่าหนีภาษีนั่นเอง) อันนี้ก็เจอบ่อยครับ โดยเฉพาะจ้าวใหญ่ๆที่มีการหิ้วกล้องเข้ามาขายเอง แล้วโฆษณาว่า
?ถูกที่สุดในประเทศไทย? นี่แหละ ตัวดีเลย
วิธี แก้ก็เหมือนเดิมครับ โทรเช็คก่อน ว่าราคานี่เป็นเครื่องหิ้วหรือเครื่องศูนย์ แล้วแถมอะไรบ้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาไม่ต่างกันมากครับ โดยเฉพาะถ้ารวมราคาของแถมด้วยแล้วละก็ บางรุ่นเครื่องศูนย์ราคาถูกกว่าก็ยังมีเลย
3. ขายเครื่องหิ้ว ในราคาเครื่องศูนย์
อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงพอสมควร เพราะสามารถเรียกได้ว่าโกงอย่างเต็มปาก จึงไม่ค่อยเห็นร้านไหนทำเท่าไหร่ นอกจากหน้าตาคุณจะละม้ายคล้าย หมู(น่าต้ม) หรือ ลา(โง่) นั่นแหละ อาจจะมีโอกาสเจอได้
วิธี แก้ไขข้อนี้ไม่ยากครับ ดูใบรับประกันให้ดี(ดูว่าเป็นใบรับประกันของแท้ด้วยนะ ไม่ใช่ใบรับประกันทำเอง) ให้หมายเลขเครื่องตรงกับในใบรับประกันเป็นพอ

4. ใส่ราคาไว้ถูกกว่าชาวบ้าน แต่ถึงเวลาไปจริงๆไม่มีของ แต่เชียร์รุ่นอื่นแทน
อันนี้บอกยากเหมือนกันครับ ว่าเจตนาเป็นยังไง บางที่เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอกครับ อย่างที่บอกว่ากล้องเดี๋ยวนี้กำไรไม่ได้มากมายอะไร ถ้าเทียบกับราคากล้อง ร้านส่วนใหญ่จึงมี
stock ของเก็บไว้ไม่กี่ตัว โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมด้วยแล้ว บางร้านก็ไม่มีติดไว้ที่ร้านเลย แล้วถ้าจู่ๆคุณไปที่ร้านเค้าเลยแล้วเค้าบอกว่าของไม่มี หรือหมด คุณจะไปบอกว่าเค้าหลอกลวง มันคงไม่ใช่ แต่ที่จะเข้าข่ายหลอกลวงคือเค้าตั้งใจให้คุณไปที่ร้านแล้ว หว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้ง 7 ให้คุณซื้อรุ่นอื่น(ซึ่งเค้าอาจจะได้กำไรดีกว่า) อันนี้ก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้องนัก
วิธี การแก้ไขก็ไม่อยากเช่นกันครับ โทรศัพท์(อีกเช่นเคย) ไปถามเค้าก่อนว่ารุ่นนี้มีมั๊ย แล้วนัดเค้าให้ดีว่าวันไหนจะเข้าไปเอา ที่สำคัญอย่าลืมทิ้งเบอร์ไว้ให้เค้าด้วย ในกรณีที่ของหมดหรือไม่มีของกระทันหันให้เค้าโทรมาแจ้งเรานิดนึงจะได้ไม่ เสียเวลา
5. โจมตีคู่แข่ง ยกหางร้านตัวเอง
เมื่อคู่แข่งมีมาก ตลาดยังมีเท่าเดิม วิธีการที่ร้านกล้องบางแห่งเลือกใช้คือ
?โจมตี ป้ายสี ?ร้านคู่แข่ง และยกหางร้านตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้ใช้กล้องมารวมกันเยอะๆ เช่น ในเว็บ Pantip หรือ เว็บ Taklong พวกนี้จะใช้วิธีให้คนของตนสมัครสมาชิกไว้หลายๆชื่อ หลังจากนั้น ก็จะคอยดูกระทู้ที่มีคนเข้ามาถามเกี่ยวกับการซื้อกล้อง แล้วก็จะตอบว่า ?ร้าน....บริการดีครับ? ?ไปที่ร้าน.....ซิ ดีครับ ผมเคยซื้อมาแล้ว? อะไรทำนองนี้ครับ ส่วนใหญ่พวกที่มาตอบแบบนี้ 80% จะเป็นพวกหน้ายาว(เหมือนม้า)ครับ ซึ่งสำหรับกรณีนี้ยังพอให้อภัย แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อว่าร้านคู่แข่งอย่างเสียๆหายๆ แต่งเรื่องที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมา น้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก ทั้งที่จริงแล้วร้านที่มาโพสว่าคนอื่นเนี่ย อาจจะ?ห่วย?ที่สุดก็ได้
อัน นี้เราคงไม่ต้องแก้ไขหรอกครับ แต่จำไว้ในใจก็พอว่า?อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ?ครับ โดยเฉพาะในสื่อ internet ที่ไม่เห็นว่าใครเป็นใครเนี่ย ลองหาข้อมูลแบบอื่นๆดูบ้าง โทรไปคุยกับทางร้านดูก็ได้ ผมว่าร้านดีๆเค้าก็พร้อมที่จะให้คำปรึกษาครับ
ก็ หวังเป็นอย่างยิ่งนะครับว่า ถ้าท่านได้อ่านบทความนี้แล้วจะช่วยให้ทุกๆคน ซื้อกล้องได้ถูกสตางค์และถูกใจมากขึ้น จะทำยังไงได้ละครับ ยุคนี้มันยุค?ข้ารวยคนเดียว?นี่ คนมีสตางค์น้อยอย่างเราๆ ก็ต้องรู้จักวิธีการพวกนี้ไว้บ้าง จะได้ไม่ถูกหลอกง่ายๆ

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหตุผลที่ต้องซื้อ "กล้องดิจิตอล"


ข่าวโดย กล้องดิจิตอล ดอทคอม
คงจะปฏิเสธไม่ ได้ว่า เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือไปงานต่างๆ "กล้องดิจิตอล" คืออุปกรณ์ที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไป และดูแล้วจำนวนคนที่มี"กล้องดิจิตอล" ดูจะมีมากกว่าจำนวนคนที่มีกล้องฟิล์ม สมัยที่กล้องฟิล์มยังเฟื่องฟูด้วยซ้ำ
ทำไม "กล้องดิจิตอล" จึงกลายเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตในปัจจุบัน?? อันนี้ตอบได้ไม่ยาก ผมเชื่อว่าคนที่คิดจะซื้อ กล้องดิจิตอล ส่วนมากไม่เคยมีกล้องถ่ายรูปแบบฟิล์มมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ทำไมคนที่ไม่เคยมีกล้องถ่ายรูปแบบฟิล์ม หรือมีความรู้เรื่องกล้องน้อยมาก จึงอยากมี กล้องดิจิตอล... คำตอบง่ายๆ คือ คนส่วนใหญ่คิดมานานแล้วว่า อยากเก็บภาพความทรงจำหรือความประทับใจต่างๆเอาไว้ ถ้าเราสามารถมีอุปกรณ์ซึ่งเก็บภาพหรือความทรงจำเหล่านั้นได้อย่างไม่จำกัด ได้คงจะดีไม่น้อย ซึ่งกล้องแบบฟิล์มแบบเดิมนั้นตอบโจทย์ตรงนี้ไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดของจำนวนภาพต่อฟิล์ม 1 ม้วน ลักษณะการถ่ายที่ไม่เห็นรูปก่อน และที่สำคัญที่สุดคือค่าใช้จ่ายในการถ่ายภาพ ซึ่ง กล้องดิจิตอล ทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง (รวมทั้งของผมด้วย) เพราะ กล้องดิจิตอล ถ่ายได้ปริมาณมาก สามารถดูรูปก่อนได้ ลบทิ้งได้ และที่สำคัญที่สุด ไม่มีค่าใช้จ่ายในการถ่ายรูป

มาลองดูตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของกล้องแบบเดิมๆ กับ กล้องดิจิตอล
คุณสมบัติ
กล้องใช้ฟิล์ม
กล้องดิจิตอล
จำนวนภาพ
36 ภาพต่อ 1 ม้วน
ขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยความจำ สูงสุดได้เป็นพันๆ ภาพ
การดูภาพ
เสียคือเสียเลย
ดูก่อนได้ ทำให้รู้ว่าภาพนั้นใช้ได้หรือไม่
การใช้งาน
ต้องระมัดระวัง เพราะถ้าถ่ายพลาด คือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ใครๆ ก็ใช้ได้ ไม่ต้องกลัวรูปเสีย เพราะสามารถลบ และถ่ายใหม่ได้ตามต้องการ
การแก้ไข
แก้ไขไม่ได้ หรือต้องนำภาพมา scan ก่อน
นำมาแก้ไขในคอมพิวเตอร์ได้ทันที
ความสามารถ
ถูกจำกัดด้วย ชนิดของฟิล์ม มีฟังก์ชั่นน้อย
มีฟังก์ชั่นมาก ปรับได้หลากหลาย มีฟังก์ชั่นหลากหลาย บางรุ่นถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย
การนำภาพไปใช้
ต้องนำภาพมา scan ก่อน ทำให้คุณภาพลดลงอีก
นำลงคอมพิวเตอร์โดยตรงได้เลย ไม่ต้องนำภาพมา scan ก่อน
ค่าใช้จ่าย
มีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าฟิล์ม ค่าล้าง ค่าอัด แทบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
แทบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกจากกรณีที่จะเอาไปอัด ซึ่งก็ยังสามารถเลือกอัดเป็นรูปๆ ได้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ (โดยเฉพาะข้อสุดท้าย) ทำให้ กล้องดิจิตอล จึงกลายเป็นที่ต้องการของทุกคน และตอนนี้ราคา กล้องดิจิตอล ก็ถูกลงมากและคุณภาพก็ไม่ต่างจากกล้องฟิล์มแล้ว ดังนั้นผมเชื่อว่าภายใน 3 -4 ปีนี้กล้องฟิล์มจะหายไป(ผู้ผลิตฟิล์มรายใหญ่ เช่น Kodak มีแผนจะยกเลิกการผลิตฟิล์มแล้ว) และ การถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอล จะได้รับความนิยมอย่างสูง แน่นอน

วิธีการเลือกซื้อกล้อง


สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงในการซื้อกล้อง มีดังต่อไปนี้
•  วัตถุประสงค์
•  งบประมาณ
•  ความรู้เกี่ยวกับกล้อง
•  การทดสอบก่อนซื้อ
1. วัตถุประสงค์คำถามที่มักจะได้ฟังอยู่เสมอ คือ “ จะใช้กล้องอะไรดี ” “ ช่วยตัดสินใจให้หน่อยจะซื้อกล้องแบบไหนดีมากกว่านี้ไปอีกคือจะถามว่าซื้อกล้องยี่ห้ออะไรดีซึ่งเป็นปัญหาที่ตอบยากที่สุดเพราะในปัจจุบันมีกล้องถ่ายรูปให้เลือกเป็นจำนวนมากและฟิล์มที่ใช้ก็มีตั้งแต่เล็กที่สุดกล้องมีหลายประเภทตั้งแต่ประเภทที่ใช้งานบ่อย ๆ ไม่มีกลไกอะไรมากนักแม้กระทั่งการใส่ฟิล์มก็ยังเป็นกลักผู้ใช้จับใส่ตามช่อง ถ้าจับใส่ผิดก็ไม่เข้าจับใส่ใหม่ถ้าเข้าก็เป็นอันใช้ได้ ปิดฝากล้องถ่ายภาพได้เลยเพราะมีปุ่มเดียวเท่านั้น แต่กล้องบางประเภทยุ่งยากซับซ้อน โดยมีปุ่มปรับมากมายถ้าถ่ายไม่เป็นก็จะเสียเอาง่าย ๆ ทำเอาคนที่ไม่รักการถ่ายภาพจริง ๆเลิกสนใจการถ่ายภาพไปเลยฉะนั้นก่อนจะซื้อกล้องต้องทราบถึงวัตถุประสงค์ของตัวเองก่อนว่าจะซื้อกล้องไปใช้ในเหตุผลอันใดเช่น
•  เพื่อเก็บบันทึกไว้เป็นที่ระลึก
•  เพื่อต้องการถ่ายก๊อปปี้ภาพต่าง ๆเกี่ยวกับงานที่ทำ
•  เพื่อต้องการถ่ายภาพทิวทัศน์ขณะท่องเที่ยวชายทะเล ปีนเขาฯลฯ
•  เพื่อต้องการถ่ายภาพคน
•  เพื่องานโดยเฉพาะ เช่น การทำบัตร
ฯลฯ
เมื่อทราบจุดประสงค์แล้วก็เริ่มศึกษาประเภทของกล้อง จะทราบคำตอบด้วยตัวเองว่าจะเลือกใช้กล้องประเภทไหนดี เพราะกล้องแต่ละประเภทก็จะเหมาะกับงานแต่ละอย่าง
2. งบประมาณเมื่อเลือกประเภทได้แล้วตัวเราเองเท่านั้นที่จะตอบตัวเองได้ดีกว่าใครอื่นว่า “ จะซื้อกล้องยี่ห้อไหนดีเพราะกล้องปัจจุบันนี้มีราคาต่างกันมากมาย ตัวอย่างเช่นถ้าท่านเลือกได้แล้วจะซื้อกล้อง 35 ม . ม . เลนส์เดี่ยวสะท้อนภาพ SLR ก็จะมีราคาให้ท่านเลือกตั้งแต่ 3-4 พันบาทไปจนถึงราคา 3-4 หมื่น หรือเป็นแสนก็มีข้อคิดสำหรับตัวท่านก็คือจะสำรวจงบประมาณของตัวเองและความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณของท่านจะเป็นตัวบ่งยี่ห้อและรุ่นที่จะซื้อได้ดีสมมุติถ้าท่านมีงบประมาณไม่จำกัดเท่าไรก็ได้โปรด หยุดคิดสักนิดว่าท่านจะใช้คุ้มกันเงินหมื่นที่ลงทุนไปหรือเปล่า มีความจำเป็นต้องซื้อให้แพง ๆเพื่อจะได้มีปุ่มโน้นปุ่มนี้แค่ไหนถ้าซื้อมาแล้วจะมีโอกาสใช้ระบบเหล่านี้หรือเปล่าน่าคิด
3. ความรู้เกี่ยวกับกล้องท่านมีความรู้เกี่ยวกับกล้องดีหรือยัง โดยเฉพาะส่วนประกอบของกล้อง ปุ่มต่าง ๆระบบการทำงานต่าง ๆ ของกล้องโดยเฉพาะประสิทธิภาพในการทำงานและผลที่จะได้รับจากระบบปุ่ม กลไก เหล่านั้น ถ้ายังไม่มีต้องศึกษาดูให้ถ่องแท้เสียก่อนโดยเฉพาะรุ่นที่ท่านกำลังจะซื้อ หาแบบของกล้องซึ่งมักจะบอกข้อมูลมาศึกษาและลองเปรียบเทียบกับกล้องที่ราคาใกล้เคียงดูว่าจะแตกต่างกันอย่างไรคงจะช่วยในการตัดสินใจก่อนซื้อได้ดี
4. การทดสอบก่อนซื้อ
4.1 สภาพทั่วไป
•  รอยต่อต่าง ๆ ภายนอก กรอบ ๆกล้อง รอยขีดข่วนของเลนส์กล้องกับเลนส์ยี่ห้อเดียวกันหรือไม่
•  ลองเขย่ากล้องไปมาโดยจับกล้องให้แน่นเขย่าใกล้กับใบหูเพื่อฟังส่วนบกพร่องของชิ้นส่วนที่หลวมแต่ผู้ทดสอบควรจะมีความรู้ในส่วนประกอบของกล้องพอสมควรทั้งนี้เพราะกล้องโดยทั่วไปจะมีเสียงตามปกติอยู่แล้วตามระบบของแต่ละกล้องดังนั้นผู้ทดสอบต้องมีความรู้พอที่จะแยกให้ออกว่าเสียงที่ดังนั้นดังเพราะอะไรปกติหรือผิดปกติอย่างไร
4.2 ตรวจช่องมองภาพปรับหาระยะชัดโดยมองที่วัตถุใดวัตถุหนึ่งเอาไว้ แล้วลองหมุนแหวนปรับระยะชัดที่วัตถุนั้นจากนั้นเอากล้องอ่านค่าวงแหวนปรับระยะชัดว่าตรงกับระยะห่างของวัตถุถึงกล้องหรือเปล่าถ้าไม่ถึงก็แสดงว่ากล้องนั้นบกพร่อง

4.3 ตรวจความเร็วชัตเตอร์ลองตั้งความเร็วชัตเตอร์ตั้งแต่ต่ำสุด เช่น 1 แล้วกดชัตเตอร์ แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 2 กดชัตเตอร์ 4-8-15 ลองฟังเสียงดูว่าความเร็วแต่ละระดับเพิ่มขึ้นเป็นอัตราส่วนหรือเปล่าการทำงานของชัตเตอร์ราบเรียบสม่ำเสมอหรือไม่และยังเป็นการทดสอบด้วยว่าความเร็วของกล้องตัวนั้นใช้ได้ทุกระดับปกติหรือไม่
4.4 ตรวจระบบวัดแสงโดยใช้ฝ่ามือบังหน้าเลนส์แล้วค่อย ๆ เลื่อนออกสังเกตดูว่าเข็มหรือสัญญาณในการวัดแสงเคลื่อนตามหรือไม่จากนั้นลองปิดสวิตซ์ระบบวัดแสงแล้วเปิดใหม่สังเกตดูว่าระบบวัดแสงทำงานทันทีหรือไม่ระบบวัดแสงที่ดีจะต้องทำงานทันที
4.5 ทดสอบการทำงานของกล้องเมื่อใช้กับแฟลชว่าทำงานสัมพันธ์กันดีหรือไม่ โดยเสียบ ไฟแฟลชแยกตัวแฟลชออกหันเข้าหากล้องเปิดฝาหลังกล้องแล้วคอยสังเกตให้ดีกดชัตเตอร์จะเห็นแสงไฟแฟลชลอดผ่านม่านชัตเตอร์สัมพันธ์กันพอดี
4.6 ตรวจรูรับแสงของกล้องว่าในขณะที่เปลี่ยนหน้ากล้องตามตัวเลข 16, 11, 8, 5, 6, 4, 2, 8, 2, 1, 4 นั้นรูรับแสงเปลี่ยนขนาดหรือไม่
4.7 ข้อเตือนใจสุดท้ายหากท่านซื้อกล้องใช้แล้วโปรดอย่าใช้อายุของกล้องเป็นจุดใหญ่มาตัดสินการตกลงใจในการซื้อเพราะกล้องที่ผู้ขายบอกว่า “ ใช้เพียงเดือนเดียวอาจมีสภาพแย่กว่ากล้องที่ซื้อมาใช้แล้ว 1 ปีก็ได้ ทั้งนี้กล้องเป็นสิ่งที่บอบบางถ้าผู้ใช้ใช้ไม่เป็น รักษาไม่เป็น เพียง 1 เดือน ก็อาจจะโทรมยิ่งกว่า 1 ปีของคนใช้และรักษากล้องเป็น

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ขนาดของหน่วยความจำและขนาดของภาพเมื่อนำไปอัด

ขนาดของหน่วยความจำและขนาดของภาพเมื่อนำไปอัด


หลายคนคงมีคำถามว่าเราจะเลือกหน่วยความจำขนาดเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับการใช้ งาน และจะต้องตั้งค่าขนาดภาพขนาดเท่าใดจึงจะอัดรูปได้มีคุณภาพในขนาดที่เราต้อง การ ผมจึงได้รวบรวมตารางความจุของการ์ดต่อจำนวนภาพ และตารางแสดงความละเอียดของภาพที่เหมาะสมต่อการอัดรูป ใครมีความจำเป็นจะต้องใช้งานแบบไหนก็ลองเปรียบเทียบแล้วเลือกใช้กันเอาเองนะ ครับ



ตารางความจุของการ์ดต่อจำนวนภาพ
ความละเอียด
16 MB
32MB
64MB
128MB
256MB
512MB
1GB
8 ล้านพิกเซล
4- 7 รูป
8-14 รูป
16- 28 รูป
30- 56 รูป
58-112 รูป
100-204 รูป
200-408 รูป
6 ล้านพิกเซล
5- 8 รูป
10-16 รูป
20-34 รูป
42- 64 รูป
80-128 รูป
150-256 รูป
280-512 รูป
5 ล้านพิกเซล
6-11 รูป
12-23 รูป
24-48 รูป
51- 96 รูป
92-174 รูป
186-354 รูป
384-723 รูป
4 ล้านพิกเซล
8-15 รูป
15-29 รูป
35-60 รูป
70- 120 รูป
110-230 รูป
210-430 รูป
450-934 รูป
3 ล้านพิกเซล
10-18 รูป
20-37 รูป
41-74 รูป
82- 149 รูป
148-264 รูป
302-537 รูป
617-1,097 รูป
2 ล้านพิกเซล
16-30 รูป
33-61 รูป
66-123 รูป
133- 246 รูป
238-446 รูป
484-907 รูป
988-1,852 รูป
* ทั้งหมดเป็นค่าโดยประมาณขึ้นอยู่กับคุณภาพของภาพที่เลือกใช้
ค่าความละเอียดของรูปจาก กล้องดิจิตอล ที่เหมาะสมกับขนาดของรูป
ความละเอียด/เมกกะพิกเซล
ขนาดรูป/นิ้ว
VGA (640x480)
3.5x5 inch
1 เมกะพิกเซล
4x6 inch
2 เมกะพิกเซล
5x7 inch
3 เมกะพิกเซล
8x10 inch
4 เมกะพิกเซล
11x14 inch
5 เมกะพิกเซล
14x17 inch

โดย คาเมร่าแมน

บัญญัติ 6 ประการในการซื้อ"กล้องดิจิตอล"

แน่นอนละ คำถามของผู้ที่จะซื้อ กล้องดิจิตอล ก็คือ จะซื้อกล้องรุ่นไหนดี จึงจะเหมาะกับเจ้าของ และใช้งานได้นานๆ ไม่ต้องซื้อใหม่ในอนาคตอันใกล้ เราจึงได้สรุป บัญญัติ 6 ประการในการซื้อกล้องดิจิตอล ดังนี้

1. ถามความต้องการในการใช้งานของตนเอง
ผม เห็นหลายๆ คนเวลาซื้อ กล้องดิจิตอล ก็จะเลือกซื้อแบบที่มันแพงๆ หน่อย เพราะคิดว่ามันต้องดี แต่จากประสบการณ์ของผมแล้วมันก็ไม่จริงไปทั้งหมด ผมจะยกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งซึ่ง ซื้อกล้อง digital ราคาแพงมาตัวหนึ่ง ราคาหลายหมื่นบาท เป็นกล้องแบบมืออาชีพเลยทีเดียว
แต่ ปรากฏว่าเวลาเอาไปใช้งานกลับไม่สะดวก เพราะตัวมันใหญ่เทอะทะ เวลาพกไปไหนก็ลำบาก เวลาถ่ายก็ต้องปรับความละเอียดให้ต่ำลง เพราะถ้าถ่ายที่ความละเอียดสูงสุด ภาพจะมีขนาดใหญ่มาก เวลาเอาลงคอมหรือปรับแต่งก็ช้ามากแถมมันก็ไม่มีความรู้เรื่องการถ่ายรูปเท่า ไหร่ ถ่ายแบบอัตโนมัติเป็นอย่างเดียว แบบนี้ก็เรียกว่าเสียเงินไปเปล่าๆ เห็นไหมครับว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องทราบความต้องการของตนเองก่อนว่า ต้องการ กล้องดิจิตอล ไปใช้งานทำอะไร
- ใช้งานทั่วๆไป
หมาย ถึงการนำไปใช้งานในการถ่ายภาพทั่วไป ถ่ายรูปเวลาไปเที่ยว เก็บภาพทั่วๆไป เป็นต้น โดยลักษณะนี้ กล้องก็ไม่จำเป็นต้องมีฟังก์ชั่นพิเศษอะไรมากมาย ความละเอียดก็ซัก 4 ล้าน pixel ก็พอแล้ว
- ใช้ในการทำเว็บไซต์
ภาพ ที่ลงในเว็บไซต์ ปกติก็ไม่ได้ต้องการภาพขนาดใหญ่อยู่แล้ว ปกติซัก 4 ล้าน pixel ก็เหลือเฟือ นอกจากจะนำไปใช้ถ่ายรูปที่ต้องการคุณภาพสูงมากๆ หรือเงินมันเหลือใช้ก็ตามใจ
- ใช้ในการรับจ้างถ่าพภาพตามงานต่างๆ
ใน การถ่ายในลักษณะนี้ แน่นอนว่าคงจะต้องใช้กล้องที่ดีหน่อย จริงๆควรจะเป็น กล้องดิจิตอล SLR ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่ากล้องดิจิตอลแบบ compact ไม่ดีพอ แต่แน่นอน คนจ้างคงอยากจ้างคนที่มีกล้องแบบมืออาชีพมากกว่า ซึ่งควรจะมีความละเอียดประมาณ 5-6 ล้าน pixel
- ใช้ในการทำสิ่งพิมพ์ หรืองานสตูดิโอ
แน่ นอนว่าคุณต้องซื้อกล้อง ดิจิตอล SLR ซักตัว เพื่อที่จะได้ปรับค่าต่างๆ เปลี่ยนเลนส์ แฟลซ หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆได้ตามใจ ความละเอียดก็ไม่ควรต่ำกว่า 5 ล้าน Pixel
2.เลือกคุณสมบัติของกล้อง
คุณควรรู้จักค่าคุณสมบัติของกล้องเหล่านี้ เวลาไปเลือกซื้อ เพื่อที่จะเลือกกล้องได้เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด
- ความละเอียด
ความละเอียด
ขนาดของภาพเมื่อนำไปอัด
เหมาะกับ
2 Megapixels
5 x 7 นิ้ว
(รูปถ่ายขนาดปกติ) ถ่ายภาพทั่วไป ทำเว็บ
3 Megapixels
8 x 10 นิ้ว
ถ่ายภาพทั่วไป งานที่ต้องการคุณภาพพอสมควร
ตั้งแต่ 4 Megapixels
กระดาษ A4 ขึ้นไป
งานสิ่งพิมพ์ งานนิตยสาร งานที่ต้องการคุณภาพของงานสูงๆ

- ความสามารถในการซูม
โดยปกติ เราจะเห็นว่ามีการเขียนถึงรูปแบบการซูมอยู่ 2 อย่างคือ Optical zoom กับ Digital zoom โดยจำไว้ว่า ไม่ต้องสนใจกับค่า digital zoom โดยการ zoom แบบนี้เป็นการขยายรูปจากไฟล์ภาพธรรมดา ซึ่งเราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำทีหลังได้อยู่แล้ว แต่ให้สนใจค่า Optical zoom ซึ่งเป็นการ Zoom จากเลนส์จริง ซึ่งแน่นอน ยิ่ง zoom ได้มากก็ยิ่งดี
- เรื่องของ Battery
แน่ นอน แบตเตอรี่นั้นก็สำคัญมากๆ เพราะหากแบตเตอรี่หมด กล้องดิจิตอล ก็ไม่ต่างจากเครื่องประดับธรรมดาๆ ควรพิจารณาดูด้วยว่าแบตเตอรี่ที่ใช้นั้น เป็นแบบไหน แนะนำอย่างยิ่งให้ใช้แบตเตอรี่แบบที่ชาร์จไฟได้ เพราะจะถ่ายภาพได้นานกว่า และไม่เปลืองสตางค์อีกด้วย อายุการใช้งานก็สำคัญเช่นกัน ควรดูด้วยว่ากล้องรุ่นนั้นเมื่อชาร์จไฟเต็มแล้ว สามารถถ่ายภาพได้กี่ภาพแบตเตอรี่จึงจะหมด โดยปกติก็ไม่ควรน้อยกว่า 150-200 ภาพ เป็นอย่างน้อย
- ความสามารถในการปรับแบบ Manual
การ ปรับค่าแบบ Manual จะอนุญาตให้คุณ สามารถปรับค่าบางอย่างได้เอง เช่น ค่าความกว้างของรูรับแสง ความเร็ว ชัตเตอร์ เป็นต้น ซึ่งถ้าคุณอ่านแล้วไม่รูว่าค่าเหล่านี้คืออะไร ความสามารถในการปรับแบบ Manual นี้ ก็คงไม่จำเป็นสำหรับคุณ
- ขนาด รูปร่าง และน้ำหนัก
คุณ ควรจะพิจารณา ขนาด รูปร่าง และน้ำหนักของกล้องด้วยว่าเหมาะสมกับคุณหรือว่าถูกใจคุณรึเปล่า ซึ่งอันนี้คงต้องพิจารณาเอาเองแล้วละครับ
3. ตั้งงบประมาณในการซื้อกล้อง
จริงๆ แล้วในตอนแรก ผมกะว่าจะเอาข้อนี้เป็นข้อแรกอยู่เหมือนกัน เพราะมันน่าจะสำคัญที่สุด สำหรับคนส่วนใหญ่ เอาเป็นว่าตอนนี้คุณก็คงพอจะรู้แล้ว ว่ากล้องดิจิตอลที่คุณต้องการนั้นควรมีคุณสมบัติยังไง ทีนี้ก็ลองตั้งงบประมาณดูนะครับ ว่าคุณมีเงินที่จะซื้อกล้องเท่าไหร่ และจะซื้อรุ่นไหนที่คุณสมบัติตรงและอยู่ในงบประมาณได้บ้าง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของแต่ละคนครับ
4. ดูตัวอย่างภาพที่ถ่ายจากกล้องที่ต้องการซื้อ
อัน นี้ก็สำคัญนะครับ จากประสบการณ์ของผมบอกได้เลยว่า บรรดากล้องยี่ห้อดังๆ ทั้งหลายในราคาใกล้เคียงกัน คุณภาพมักไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ภาพนี่สิ แต่ละยี่ห้อก็จะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง บางยี่ห้อสีของรูปดูเป็นธรรมชาติ บางยี่ห้อสีสันสดใส บางยี่ห้อสีโทนออกนุ่มๆ ซึ่งถ้าถามว่าอันไหนสวยกว่ากัน ผมก็ตอบไม่ได้ ดังนั้นอย่าไปฟังใครพูดว่ายี่ห้อไหนสวยกว่ากัน จงดูด้วยตาของตัวเองดีกว่าจะได้ถูกใจคุณที่สุด
5. เปรียบเทียบราคากล้องรุ่นที่คุณสนใจ
เมื่อ คุณทราบแล้วว่จะซื้อกล้องรุ่นไหน ที่สำคัญอย่าลืมดูราคาหลายๆร้าน ซึ่งโดยปกติแล้ว ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องซื้อกับร้านใหญ่ๆหรือว่าต้องซื้อในห้าง เพราะถ้ากรณีรับประกันศูนย์มันก็ไม่ต่างกันอยู่แล้ว ดังนั้นควรพิจารณาร้านที่ขายราคาถูก น่าเชื่อถือ และเดินทางไปที่ร้านสะดวก(ใกล้บ้าน)เวลาของมีปัญหาจะดีกว่า อ้อ ที่สำคัญอย่าลืมดูด้วยว่าของแถมแต่ละร้านมีอะไรบ้าง เพราะบางร้านอาจจะขายถูก เพราะไม่แถมอุปกรณ์ที่จำเป็นบางอย่าง เช่นหน่ายความจำ เป็นต้น จึงควรถามให้แน่ใจก่อน
6. ดูการรับประกัน
การ รับประกันนี้สำคัญมากๆ ครับ เพราะ อุปกรณ์ถ่ายรูปแบบอิเลคทรอนิคมีโอกาสเสียง่ายกว่าอุปกรณ์ถ่ายรูปที่เป็นกลไก ที่ไม่ซับซ้อนแบบเดิมๆ ดังนั้นเราควรพิจารณาให้ดี ซึ่งการรับประกันจะมี 3 แบบคือ
- ประกันศูนย์ หมายถึงรับประกันโดยเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้ง จากเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรง ซึ่งแบบนี้ก็ไม่ต้องพิจารณาอะไรมาก เพราะเค้าจะมีศูนย์ซ่อมและอะไหล่ไว้บริการเวลาเครื่องเสียอยู่แล้ว
- ประกันร้าน แบบนี้หมายถึง ทางร้านนำกล้องเข้ามาขายเอง ไม่ได้ผ่านตัวแทนจำหน่ายโดยตรง จึงได้ราคาถูกกว่า เพราะไม่ต้องกันราคาไว้ตั้งศูนย์บริการหลังการขาย แต่ก็เสี่ยงกว่า ในแบบนี้แน่นอนถ้าเสียทางร้านก็คงต้องเป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งก็คงยากมากที่จะซ่อมเร็วกว่าศูนย์ และในบางกรณีอาจโดนโบ้ยได้ (โบ้ยเป็นภาษาจีนแปลว่าไม่รับผิดชอบ) จึงต้องพิจารณาร้านที่จะซื้อให้ดี แนะนำว่าถ้าราคาไม่ถูกกว่ามากนัก ก็ซื้อแบบประกันศูนย์เถอะครับ สบายใจกว่า
- ประกันแบบตัวใครตัวมัน โดยแบบนี้เห็นบางราย นำเข้ามาขายในลักษณะหิ้วเข้ามาจากต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้มีอาชีพขายกล้องโดยตรง แน่นอนราคาถูกกว่า(แต่ผมว่าก็ไม่เท่าไหร่) แต่แบบนี้เวลาเสียขึ้นมาคิดหรือว่าเค้าจะหิ้วกล้องของคุณไปที่ต่างประเทศ เพื่อเอาไปซ่อมให้ ฝันกลางวันแน่ๆ
ท้ายสุดนี้ก็ขอให้ทุกท่านเลือกซื้อกล้องได้ถูกใจถูกราคา

รายชื่อผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพ

รายชื่อผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพ

อุปกรณ์การถ่ายภาพ

1. ตัวกล้อง (Camera body)
เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการถ่ายภาพ  ตัวกล้องจะมีลักษณะเป็นกล่องภายในสีดำปิดมิดชิดเพื่อป้องกันแสงกระทบกับฟิล์ม  ตัวกล้องอาจทำด้วยโลหะหรือพลาสติกแข็งซึ่งแต่ละบริษัทใช้ผลิตออกมาจำหน่าย  ภายในตัวกล้องจะมีกลไกต่างๆ หรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ทำงานร่วมกันในการบันทึกภาพ  กล้องบางรุ่นอาจเป็นระบบกลไก  บางรุ่นอาจเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติ  หรือบางรุ่นอาจเป็นระบบดิจิตอลเพื่ออำนวยความสะดวกในการถ่ายภาพ  ภายในตัวกล้องจะมีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้

ภาพแสดงกล้อง 35 มม. สะท้อนเลนส์เดี่ยว
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้  กล้องถ่ายภาพได้มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง  ได้มีการนำเอาระบบดิจิตอล (Digital) ที่มีความสะดวกรวดเร็วและมีความแม่นยำในการถ่ายภาพ  ทำให้รูปแบบของกล้องถ่ายภาพได้เปลี่ยนไป  จากการบันทึกภาพด้วยฟิล์มมาเป็นการบันทึกภาพด้วยระบบหน่วยความจำ (Memory)และสามารถแสดงผลได้ทั้งทางจอภาพคอมพิวเตอร์ (Monitor) และแสดงผลหรือพิมพ์ภาพผ่านเครื่องพิมพ์ (Printer)


2. เลนส์ (Lens)
เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการถ่ายภาพ  ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ถ่ายทอดแสงสะท้อนภาพให้ผ่านเข้าไปในกล้อง  รวมแสงให้เป็นภาพที่มีความคมชัด  บันทึกลงแผ่นฟิล์ม  เลนส์สำหรับกล้องถ่ายภาพ 35 มม.  สะท้อนเลนส์เดี่ยวนั้น จะทำจากแก้วเลนส์จำนวนหลายชิ้น  เลนส์แต่ละชิ้นเคลือบด้วยสารไวแสงเพื่อให้การรับภาพมีความคมชัด  และภายในกระบอกเลนส์จะมีแผ่นไดอะแฟรม (Diaphragm) สำหรับเพิ่มหรือลดขนาดรูรับแสง  เพื่อควบคุมปริมาณแสงเข้าไปในตัวกล้อง

ภาพแสดงเลนส์ถ่ายภาพ
2.1 ชนิดของเลนส์
นักประดิษฐ์เลนส์ถ่ายภาพพยายามพัฒนา  และออกแบบเลนส์ให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท  โดยจำแนกประเภทของเลนส์ตามความยาวโฟกัส (Focal length)  เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสแตกต่างกันจะให้ผลในการถ่ายภาพแตกต่างกันออกไป  โดยมีเลนส์ขนาดหนึ่งใช้เป็นเลนส์ประจำกล้องเพื่อถ่ายภาพธรรมดาทั่วไป  ซึ่งมีองศาในการรับภาพใกล้เคียงกับสายตาของมนุษย์ในการมองทั่วไป  และมีเลนส์ขนาดอื่นแตกต่างกันออกไป  อีกทั้งชนิดที่มีองศารับภาพกว้างเหมาะสำหรับถ่ายภาพภูมิทัศน์ (Landscape)  และเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสแคบแต่สามารถถ่ายภาพในระยะไกลได้  นอกจากนี้ยังมีเลนส์ชนิดพิเศษ  สามารถอำนวยความสะดวกในการถ่ายภาพให้ได้ลักษณะตามต้องการ  โดยจำแนกชนิดของเลนส์  ดังนี้
2.1.1.เลนส์มาตรฐาน (Normal lens หรือ Standard lens)
เป็นเลนส์ประจำกล้อง  ซึ่งเมื่อซื้อกล้องถ่ายภาพจะมีเลนส์ชนิดนี้ติดมาด้วย  เป็นเลนส์ที่ใช้ง่าย  มีความยาวโฟกัสระหว่าง 40-58 มม.  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 50 มม. (โดยวัดจากกึ่งกลางเลนส์ถึงฟิล์ม)  เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนรู้ในเรื่องการถ่ายภาพ  เป็นเลนส์ที่มีองศาในการรับภาพกว้างประมาณ 47 องศาซึ่งใกล้เคียงกับสายตาของมนุษย์

เลนส์มาตรฐาน  เหมาะสำหรับถ่ายภาพทั่วไป
2.1.2.เลนส์มุมกว้าง (Wide-angle lens)
เป็นเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสสั้นกว่าเลนส์มาตรฐาน  และรับภาพได้มุมกว้างกว่า  เหมาะสำหรับถ่ายภาพในสถานที่แคบหรือระยะห่างระหว่างกล้องถ่ายภาพกับวัตถุที่จะถ่ายอยู่ใกล้กันแต่ต้องการเก็บภาพเป็นบริเวณกว้าง  ซึ่งเลนส์ชนิดอื่นเก็บภาพได้ไม่หมด  เหมาะสำหรับถ่ายภาพภูมิทัศน์ (Land scape) หรือภาพในลักษณะอื่นๆ  เลนส์ชนิดนี้มีความชัดลึกสูงมาก  คือแสดงให้เห็นระ-ยะชัดตั้งแต่ใกล้สุดถึงไกลสุดได้ดี  แต่ต้องระมัดระวังในเรื่องของสัดส่วนระยะ (Perspective) ต่างๆ  จะเกิดการผิดเพี้ยน (Distortion)  ถ้าความยาวโฟกัสยิ่งสั้นมากยิ่งผิดเพี้ยนมากขึ้น  คือ  ภาพจะมีความโค้งเป็นรัศมีวงกลมเลนส์มุมกว้าง  แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
2.1.2.1 เลนส์มุมกว้างธรรมดา (Moderate Wide-angle lens) มีความยาวโฟกัสระหว่าง 28-35 มม.  มีมุมองศาในการรับภาพระหว่าง 74-62 องศา
2.1.2.2 เลนส์มุมกว้างมาก (Ultra Wide-angle lens)  มีความยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 13 -24 มม.  มีมุมองศาในการรับภาพ 118-84 องศา

ภาพเลนส์มุมกว้างมาก (Ultra Wide-angle lens) ขนาด 24 มม.
2.1.2.3 เลนส์มุมกว้างพิเศษหรือเลนส์ตาปลา (Fisheye lens)  มีความยาวโฟกัสน้อยมาก  คืออยู่ระหว่าง 6 - 16 มม.  มีมุมองศาในการรับภาพ 180-360 องศา  ภาพที่ได้จะมีลักษณะโค้งกลม  นิยมใช้สำหรับการถ่ายภาพในลักษณะสร้างสรรค์ และแปลกตา

เลนส์มุมกว้างพิเศษ หรือเลนส์ตาปลา (Fisheye lens)
2.1.3. เลนส์ถ่ายภาพไกล (Telephoto lens)
เลนส์ชนิดนี้มีคุณสมบัติตรงข้ามกับเลนส์มุมกว้าง  คือ  มีความยาวโฟกัสยาวกว่าเลนส์มาตรฐานและเลนส์มุมกว้าง  มีมุมรับภาพแคบเฉพาะส่วนหนึ่งเท่านั้น  เมื่อรับภาพในระยะและตำแหน่งเดียวกัน  จะทำให้ภาพที่บันทึกได้มีขนาดใหญ่กว่าการใช้เลนส์ธรรมดาและเลนส์มุมกว้าง
เลนส์ถ่ายภาพไกลมีขนาดความยาวโฟกัสแตกต่างกันหลายขนาด  จาก 70 มม. ถึง 2,000 มม.  มีมุมองศาการรับภาพตั้งแต่ 34-3 องศา  เพื่อใช้ประโยชน์ต่างกัน  ซึ่งพอจะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามความยาวโฟกัสได้ดังนี้
2.1.3.1 เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงสั้น (Short Telephoto lens)  มีความยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 70-135 มม.  มีมุมองศาในการรับภาพกว้างประมาณ 34-18 องศา  เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทั่วๆ ไป  เช่น  ภาพบุคคล  ภาพภูมิทัศน์  ภาพถ่ายระยะใกล้  เป็นต้น

เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงสั้น (Short Telephoto lens) ขนาด 135 มม
2.1.3.2 เลนส์ถ่ายภาพไกลปานกลาง (Medium Telephoto lens)  มีขนาดความยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 150-300 มม.  มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 18-8 องศา  เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่ไม่สามารถเข้าใกล้วัตถุที่จะถ่ายได้  เช่น  สัตว์ในกรง  วัตถุที่อยู่ที่สูงพอสมควร  เป็นต้น

เลนส์ถ่ายภาพไกลปานกลาง (Medium Telephoto lens) ขนาด 300 มม.
2.1.3.3 เลนส์ถ่ายภาพช่วงไกล (Long Telephoto lens)  มีความยาวโฟกัสระหว่าง 400-600 มม.  มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 6-4 องศา  เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่อยู่ไกล  เช่น  นกบนต้นไม้  การแข่งขันกีฬา  เป็นต้น

เลนส์ถ่ายภาพช่วงไกล (Long Telephoto lens) ขนาด 600 มม.
2.1.3.4 เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงพิเศษ (Super Long Telephoto lens)  มีความยาวโฟกัสระหว่าง 800-2,000 มม.  มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 3-1 องศาเท่านั้น  สำหรับภาพที่ต้องการกำลังขยายมาก  เช่น  ภาพถ่ายทางดาราศาสตร์  ภาพถ่ายบนตึกสูง  เป็นต้น  เลนส์พวกนี้จะน้ำหนักมากเป็นพิเศษ  ควรใช้ขาตั้งกล้องช่วยในการถ่ายภาพ
เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงพิเศษ (Super Long Telephoto lens) ขนาด 1,000 มม.
2.1.4. เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะ (Zoom lens)
เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะ (Zoom lens) หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า  เลนส์ซูม  เลนส์ชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากเพราะใช้สะดวก  มีเลนส์รวมกันอยู่หลายชนิดในตัวเดียว  สามารถเปลี่ยนทางยาวโฟกัสได้ในตัวด้วยการเลื่อนกระ-บอกเลนส์ (สำหรับเลนส์แบบวงแหวนเดียว)  หรือการหมุนวงแหวนปรับระยะ  (สำหรับเลนส์แบบสองวงแหวน)  ไม่ต้องคอยเปลี่ยนเลนส์บ่อยๆ  เหมือนกับเลนส์ชนิดความยาวโฟกัสคงที่  แต่เนื่องจากเลนส์ชนิดนี้มีชิ้นเลนส์มาก  จึงทำให้ความคมชัดลดลงเล็กน้อย  จึงไม่เหมาะสำหรับภาพที่ต้องการขยายใหญ่มากๆ  แต่ก็เป็นเลนส์ที่มีผู้นิยมใช้กันมากตามเหตุผลที่ได้กล่าวมา  เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะหรือเลนส์ซูมนี้มีหลายขนาดให้เลือกใช้  โดยแบ่งออกเป็นหลายประเภท  คือ
2.1.4.1 เลนส์ซูมช่วงมุมกว้าง (Wide angle Zoom)  มีช่วงขนาดความยาวโฟกัสสั้น  รับภาพได้มุมกว้าง  เช่นขนาด 20 -35 มม. 24-35 มม. 24-50 มม.  เหมาะสำหรับการใช้งานในการถ่ายภาพมุมกว้าง

ภาพเลนส์ซูมช่วงมุมกว้าง (Wide angle Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 20-35 มม
2.1.4.2 เลนส์ซูมช่วงสั้น (Short Zoom)  เป็นเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสตั้งแต่ขนาดสั้นถึงปานกลาง  โดยจะมีเลนส์ขนาดมาตรฐานรวมอยู่ด้วย  เป็นเลนส์ซูมที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด  ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับเลนส์ซูมขนาดอื่นๆ กล้องถ่ายภาพของบางบริษัทจะใช้เลนส์ซูมประเภทนี้แทนเลนส์มาตรฐาน  มีช่วงความยาวโฟกัสที่นิยมใช้  คือ  ขนาด 35-70 มม.  35-105 มม.  35-135 มม.  เป็นต้น

เลนส์ซูมช่วงสั้น (Short Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 35-70 มม.
2.1.4.3 เลนส์ซูมช่วงไกล (Telephoto Zoom)  เป็นเลนส์ซูมที่มีความยาวโฟกัสสูงกว่าเลนส์สองประเภทที่ได้กล่าวมา  โดยมีขนาดที่นิยมใช้  คือ  80-200 มม.  100-300 มม.  สำหรับใช้งานแทนเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล  เลนส์ประเภทนี้จะมีน้ำหนักมาก  ผู้ใช้ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญในการใช้ เพราะอาจทำให้กล้องสั่นไหวได้ง่าย

เลนส์ซูมช่วงไกล (Telephoto Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 80-200 มม.
2.1.4.4 เลนส์ซูมช่วงไกลพิเศษ (Super Telephoto Zoom)  เป็นเลนส์ซูมที่มีช่วงความยาวโฟกัสสูงมาก  เหมาะสำหรับผู้ที่ถ่ายภาพเฉพาะด้าน  เช่น  ช่างภาพที่ถ่ายภาพกีฬาบางประเภท  นักถ่ายภาพสารคดี  หรือนักถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ก็นิยมใช้เลนส์ประเภทนี้  เลนส์ซูมประเภทนี้มีขนาดช่วงความยาวโฟกัสที่นิยมใช้  คือ  80-400 มม. 400-800 มม. 360-1200 มม.  เป็นต้น

เลนส์ซูมช่วงไกลพิเศษ (Super Telephoto Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 80-400 มม.
นอกจากเลนส์ซูมทั้ง 4 ประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว  บางบริษัทยังได้ผลิตเลนส์ซูมประเภทอื่นๆ อีก  เช่น  มาโครซูม (Macro Zoom) สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้  หรือเลนส์ซูมที่เป็นเลนส์รวมตั้งแต่เลนส์มุมกว้างถึงเลนส์ถ่ยภาพระยะไกลปานกลาง  เช่น  ขนาดความยาวโฟกัส 28-20 มม. 35-200 มม.  ดังนั้น  การเลือกใช้เลนส์ชนิดนี้จึงควรคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้งาน  และสะดวกเป็นสำคัญ  เพราะเลนส์ที่มีช่วงความยาวโฟกัสห่างกันมากเท่าใด  ก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น  และราคาก็จะสูงขึ้นไปด้วย
2.1.5 เลนส์ภาพถ่ายใกล้ (Macro lens)
เลนส์ถ่ายภาพใกล้หรือที่เรียกว่ามาโครเลนส์  เป็นเลนส์ชนิดที่สามารถถ่ายภาพในระยะใกล้ๆ ได้มากเป็นพิเศษ  ให้อัตราขยายของภาพได้ดีกว่าเลนส์ชนิดอื่นๆ  เหมาะสำหรับถ่ายภาพวัตถุที่มีขนาดเล็ก  เช่น  แมลง  ดอกไม้  เครื่องประดับ  หรือวัตถุอื่นๆ ที่ต้องการความคมชัดและให้เห็นรายละเอียดมาก  ซึ่งเลนส์ชนิดอื่นทำไม่ได้  และยังสามารถใช้ถ่ายภาพทั่วๆ ไปได้เช่นเดียวกับเลนส์ชนิดอื่นๆ ที่มีขนาดความยาวโฟกัสเท่ากัน
เลนส์มาโครมีขนาดความยาวโฟกัสหลายขนาด  ที่ใช้ทั่วไปมีตั้งแต่ 50 มม. 55 มม. 85 มม. 105 มม.  โดยมีอัตราขยายของภาพมีอัตราส่วน  คือ  1:2 (ขนาดภาพที่ปรากฏบนฟิล์มจะมีขนาดครึ่งเท่าของวัตถุ)  หรือ 1:1 (ขนาดภาพที่ปรากฏบนฟิล์มจะมีขนาดกันกับวัตถุ)

เลนส์มาโคร ขนาด 55 มม.

ภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์มาโคร
จากเลนส์ทั้ง 5 ชนิดที่ได้กล่าวมา  เป็นเลนส์ที่นิยมใช้กันทั่วไป  อีกทั้งยังได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเลนส์ให้มีความทันสมัย  และมีความสะดวกขึ้น  เช่น  มีการปรับระยะชัดแบบอัตโนมัติ (Auto focus)  การปรับเพิ่ม-ลดรูรับแสงอัตโนมัติ  การนำเอาระบบสะท้อนด้วยกระจกมาใช้เพื่อลดความยาวของเลนส์ถ่ายภาพระยะไกลที่มีความยาวโฟกัสสูงๆ ให้มีขนาดสั้นลง  หรือเลนส์มุมกว้างที่มีการแก้ระนาบภาพเอียง

ภาพถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง 24 มม.

ภาพถ่ายด้วยเลนส์มาตรฐาน 50 มม.

ภาพถ่ายด้วยเลนส์ถ่ายระยะไกล 135 มม.

ภาพถ่ายด้วยเลนส์ถ่ายระยะไกล 200 มม.
2.2 ความไวแสงของเลนส์ (Lens Speed)
ความไวแสงของเลนส์  หมายถึง  ขนาดความกว้างของรูรับแสงเมื่อเปิดรูรับแสงกว้างที่สุด  เลนส์ที่สามารถเปิดรูรับแสงได้กว้างกว่า  แสดงว่าเลนส์ตัวนั้นมีความไวแสงมากกว่า  ซึ่งจะมีข้อได้เปรียบในการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย  และสามารถปรับความเร็วชัตเตอร์ได้เร็วกว่าเลนส์ที่มีความไวแสงน้อย  แต่เลนส์ยิ่งมีค่าความไวแสงมาก  ราคาของเลนส์ก็จะสูงขึ้นไปด้วย  ดังนั้นจึงควรเลือกใช้เท่าที่จำเป็นและงบประมาณที่มี
ความกว้างของรูรับแสงจะมีตัวเลขบอกค่าไว้ที่กระบอกเลนส์  เรียกว่า  เอฟ/สต็อป (f/stop) หรือ เอฟ/นัมเบอร์ (f/number) ซึ่งมีค่ากำหนดไว้  เช่น 1.2  1.4  4  5.6  8  11  22  ตัวเลขยิ่งมากเท่าใดรูรับแสงยิ่งแคบลง

ภาพแสดงความกว้างของรูรับแสงและค่า เอฟ/สต็อป ของเลนส์ถ่ายภาพ
นอกจากนี้  ผู้ศึกษาการถ่ายภาพควรศึกษาอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม  เช่น  ไฟแฟลช  แว่นกรองแสง  ฟิล์ม  ขาตั้งกล้อง  เพื่อให้เข้าใจและพัฒนาทักษะในการถ่ายภาพต่อไป

3.ขาตั้งกล้อง หรือ tripod เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับผู้ถ่ายภาพทั้งมืออาชีพและสมัครเล่น โดยเฉพาะปัจจุบัน ที่คนหันมาเล่นกล้อง DSLR มากขึ้น ขาตั้งกล้องก็ยิ่งมีความจำเป็นขึ้น ขาตั้งกล้องทุกวันนี้มีหลากหลายระดับราคา การเลือกก็ต้องเหมาะกับการใช้งาน ทั้งวัสดุ การรับน้ำหนัก การปรับระยะ การเก็บ ถ้าเป็นขาตั้งระดับล่างๆ ก็มีข้อดีคือราคาถูก เหมาะกับคนที่ไม่ได้ค่อยได้ใช้บ่อย มีติดไว้ตอนจำเป็นนิดหน่อย และมักใช้กล้องที่น้ำหนักไม่มาก ข้อเสียก็คือ ไม่ทน รับน้ำหนักได้ไม่มาก ใช้นานเข้าก็เริ่มหัก เริ่มเสีย การล็อคไม่แข็งแรง อาจเสี่ยงถ้าจะใช้กับกล้องที่มีราคาค่อนข้างสูง วันนี้เราเลือกขาตั้งกล้องรุ่นระดับราคากลางๆ จากแบรนด์ดัง 2 แบรนด์ คือ SLIK จากญี่ปุ่น และ BENRO จากจีนมาแนะนำให้รู้จักกันครับ 
SLIK U7700
เป็นขาตั้งอลูมิเนียม รุ่นประหยัด มาพร้อมหัวแพน 3 ทิศ น้ำหนัก 1.3kg รับน้ำหนักเต็มที่ได้ 2.5kg เหมาะกับกล้องวีดีโอ และ DSLR พร้อมเลนส์ขนาดทั่วๆไป และใส่แฟลชได้ ยืดสูงสุดได้ 145cm หดเล็กสุด 51.5cm ข้อดีคือน้ำหนักเบาเพียง ขนาดและรูปร่างใกล้เคียงกับ Vertex รุ่น V8400 แต่ราคาสูงกว่านิดหน่อย เนื่องจากแข็งแรงกว่า ทนทาน การปรับและวัสดุตัวล็อคมั่นคงกว่า จับเทียบกันก็จะรู้ครับ
SLIK U7700


SLIK Sprint Pro SLIK Sprint Pro GM
เป็นรุ่นที่เหมาะอย่างยิ่งกับสำหรับการพกพา เพราะตัวบาง น้ำหนักเบาเพียง 890g แต่แข็งแรงเพราะทำจากวัสดุผสมแมกนีเซียม ขนาดพับเก็บเพียง 48cm (4ท่อน) แต่ใช้งานได้ครอบคลุมมากเช่น กางสูงสุดได้ 1635mm กางต่ำสุดเพียง 16.2cm ถอดแกนและกลับหัวเพื่อถ่ายมาโครและเอกสารได้ และรับน้ำหนักได้เต็มที่ถึง 3kg รุ่นนี้มาพร้อมกับหัวบอลที่ช่วยให้ปรับรอบทิศได้รวดเร็วเพียงปุ่มเดียว หัวสามารถถอดเปลี่ยนได้ครับ ถ้ากล้องกับเลนส์ที่ใช้น้ำหนักมากไปหน่อย ก็เปลี่ยนหัวที่ใหญ่ขึ้นได้ ใช้ยี่ห้ออื่นก็ได้ครับ
SLIK Sprint Pro



SLIK Pro 330DXอยู่ ในตระกูล Pro (อันที่จริงมีอีกรุ่นที่น่าสนใจคือรุ่น 500DX) แต่ขนาดจะใหญ่ไปนิดสำหรับการใช้งานทั่วๆไป และราคาสูงไปอีก รุ่น 330DX นี้ทำจากวัสดุ AMT (super Aluminum-Magnesium-Titanium alloy) ช่วยเพิ่มอัตราส่วนความแข็งแรงต่อน้ำหนัก ทำให้ขาตั้งรุ่นนี้ มีความแข็งแรงสูงในขณะที่น้ำหนักไม่มาก ขนาดไม่หนามาก 330DX นี้มีน้ำหนัก 1.67kg แต่รับน้ำหนักได้ถึง 4kg มาพร้อมหัวแพน 3 ทิศทาง ซึ่งถอดเปลี่ยนได้ ความสูงตอนใช้งานเต็มที่ 160cm ต่ำสุดตอนใช้งาน 51cm และขนาดตอนเก็บ 60cm SLIK Pro 330DX

Benro A057 n6 BENRO A057 n6 พร้อมหัวบอล BH0ยี่ห้อนี้มาจากเมืองจีนครับ แต่ดังระดับโลกไม่แพ้ Slik เลย รุ่นที่แนะนำเป็นรุ่นราคาไม่แพง วัสดุทำจาก Aluminium Alloy รูปร่างบึกบึน แข็งแรง น้ำหนักเบาขาเป็นแบบ 3 ท่อน ทำให้เวลากางสุดจะมั่นคงกว่าแบบ 4 ท่อน มีคุณสมบัตเด่นๆ เช่น มีตะขอสำหรับแขวนเก็บ หรือเกี่ยวตัวถ่วงน้ำหนักเพื่อให้มั่นคงขึ้น ตัวล็อคขาเป็นแบบหมุน ไม่ใช้แบบกริป ทำให้ยึดหดได้เร็ว และหมดปัญหาเรื่องทรายเข้าไปติด ขาพร้อมหัวรุ่นนี้กางสุดสูงได้ 144.4cm ปรับต่ำสุดได้ 55.6cm ความยาวตอนเก็บเหลือ  59.6cm น้ำหนักรวมหัวบอล 1.53kg และรับน้ำหนักได้เต็มที่ 2.5kg รุ่นนี้มาพร้อมหัวบอล BH0 ขนาดกลางๆ มีเพลตมาด้วย หัวจะแข็งแรงกว่าหัวที่มากับ Slik Sprint Pro GM ครับ ราคาเฉพาะหัวก็อยู่ที่ 1625 บาทแล้วครับ ซื้อพร้อมขาคุ้มครับ
BallHead BH-0